สัญญาจ้างบริหาร ข้อ ๓.๒ ระบุว่า
ผู้ว่าจ้างอาจพิจารณาจ่ายค่าตอบแทนพิเศษประจำปีตามผลประกอบการของโรงพิมพ์และผลการประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้รับจ้าง
ข้อสัญญาดังกล่าวไม่ได้มีถ้อยคำที่เป็นการผูกมัดโรงพิมพ์ว่าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนพิเศษประจำปีแก่โจทก์ทุกปี
แต่กลับเป็นการให้สิทธิแก่โรงพิมพ์เพียงฝ่ายเดียวในการพิจารณาว่าจะจ่ายค่าตอบแทนพิเศษประจำปีแก่โจทก์หรือไม่
แม้ข้อสัญญาจ้างผู้บริหารโรงพิมพ์มีถ้อยคำต่อไปว่า...
จ่ายค่าตอบแทนพิเศษประจำปีตามผลประกอบการของโรงพิมพ์และผลการประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้จับจ้างตามหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินของคณะกรรมการโรงพิมพ์ในอัตราไม่เกินร้อยละ
๓๐ ของค่าตอบแทนรวมในแต่ละปี
ก็เป็นการกล่าวถึงหลักเกณฑ์ในการกำหนดจำนวนค่าตอบแทนพิเศษประจำปีหลังจากที่มีการพิจารณาว่าจะจ่ายค่าตอบแทนแก่โจทก์แล้วเท่านั้น
เมื่อคณะกรรมการโรงพิมพ์เห็นว่าโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อเป็นเหตุให้โรงพิมพ์ได้รับความเสียหาย
และมีมติไม่จ่ายค่าตอบแทนพิเศษประจำปีสำหรับการปฏิบัติงานในปีที่ ๒ แก่โจทก์
อันเป็นการใช้สิทธิโดยชอบตามสัญญาข้อ ๓.๒ ย่อมไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์
โจทก์จะฟ้องเรียกค่าตอบแทนพิเศษประจำปีไม่ได้
ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องที่ว่า
จำเลยใช้สิทธิโดยชอบตามสัญญาไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์
เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้คู่ความไม่ได้ฎีกา
ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒(๕)
ประกอบมาตรา ๒๔๖,๒๔๗(เดิม)
ข้อเท็จจริง
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมีหน้าที่กำกับดูแลโรงพิมพ์ตำรวจ
ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดของจำเลย
สัญญาจ้างบริหาร ข้อ ๓.๒
ระบุว่า
ผู้ว่าจ้างอาจพิจารณาจ่ายค่าตอบแทนพิเศษประจำปีตามผลประกอบการของโรงพิมพ์ตำรวจและผลการประเมินผลการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างตามหลักเกณฑ์.......ถือว่า
สัญญาจ้างบริหารโรงพิมพ์ให้สิทธิแก่โรงพิมพ์เพียงฝ่ายเดียวในการพิจารณาว่าจะจ่ายค่าตอบแทนพิเศษประจำปีแก่โจทก์หรือไม่
อำนาจฟ้องมีกฎหมายที่จะต้องนำมาพิจารณาทั้ง
๒ ส่วน คือ
๑.กฎหมายแพ่ง
หมายถึง กฎหมายสารบัญญัติที่เป็นส่วนแพ่งทั้งหมด และ
๒.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๕๕ ตามบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นได้ ไม่ว่ากรณีที่จะมีข้อพิพาทเป็นคดีได้นั้น
มีทั้งการโต้แย้งสิทธิกับการโต้แย้งหน้าที่ แต่ส่วนใหญ่มักจะพูดกันแต่เพียงว่าข้อโต้แย้งสิทธิ
หน้าที่สามารถถูกโต้แย้งตามมาตรานี้ได้เช่นกัน ฉะนั้น ไม่ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิหรือโต้แย้งหน้าที่
ต้องทำให้เกิดอำนาจฟ้องขึ้นมาได้ทันที
บุคคลที่จะถือว่าเป็นผู้ที่อยู่ในฐานะเป็นลูกหนี้
ประกอบด้วยลักษณะ ๔ ประการ คือ
๑.ต้องมีหนี้
กรณีใดที่ไม่ใช่หนี้จะนำบทบัญญัติบรรพ ๒ ว่าด้วยหนี้มาใช้บังคับไม่ได้ ดังนั้นจึงต้องมีความผูกพันที่เป็นเรื่องหนี้อยู่ก่อนถึงจะบังคับตามผลแห่งหนี้ได้
๒.บุคคลนั้นเป็นลูกหนี้อันเกิดจากมูลหนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง
ในแง่ของสัญญาก็คือ ผู้นั้นเป็นคู่สัญญาทางฝ่ายลูกหนี้ที่มีหน้าที่ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามสัญญานั้น
๓.เป็นหนี้ที่บังคับได้ทางศาล
๔.ลูกหนี้ละเลยไม่ชำระหนี้ที่ถึงกำหนดชำระแล้ว
อ้างอิง
ไพโรจน์ วายุภาพ. คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วย
หนี้ พิมพ์ครั้งที่๑๒. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา,
๒๕๖๑.
อุดม เฟื่องฟุ้ง. รวมคำบรรยายภาค ๒ สมัยที่
๖๘ ปีการศึกษา ๒๕๕๘ เล่มที่ ๑๕. กรุงเทพมหานคร: สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา,
๒๕๕๘.
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๕๕ เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้น
เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง
หรือบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล
บุคคลนั้นชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลส่วนแพ่งที่มีเขตอำนาจได้
ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายแพ่งและประมวลกฎหมายนี้
มาตรา ๑๔๒ คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่ชี้ขาดคดีต้องตัดสินตามข้อหาในคำฟ้องทุกข้อ
แต่ห้ามมิให้พิพากษาหรือทำคำสั่งให้สิ่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
เว้นแต่
(๕)
ในคดีที่อาจยกข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นอ้างได้นั้น
เมื่อศาลเห็นสมควร ศาลจะยกข้อเหล่านั้นขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาคดีไปก็ได้
มาตรา ๒๔๖ เว้นแต่ที่ได้บัญญัติไว้ดังกล่าวมาข้างต้น
บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีในศาลชั้นต้นนั้น
ให้ใช้บังคับแก่การพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นอุทธรณ์ได้โดยอนุโลม
0 Comments
แสดงความคิดเห็น