จำเลยและ ส.
มิได้มีเจตนาร่วมกันที่จะไปก่อเหตุชิงทรัพย์มาตั้งแต่แรก ครั้น ส. กับจำเลยร่วมกันก่อเหตุทำร้ายแก่ผู้เสียหายที่
๓ แล้ว ผู้เสียหายที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔
กับพวกเข้าไปห้ามปรามและช่วยเหลือผู้เสียหายที่ ๓ ก็ถูก ส. ทำร้าย จนผู้เสียหายที่
๑ ต้องวิ่งหลบหนีไป โดยมี ส. วิ่งตาม เมื่อ ส. เห็นผู้เสียหายที่ ๒ วิ่งตามมาด้วย
จึงหันกลับมาทำร้ายผู้เสียหายที่ ๒ และชิงทรัพย์ผู้เสียหายที่ ๒ ไป
ครั้นผู้เสียหายที่ ๑ จะเข้ามาช่วยเหลือผู้เสียหายที่ ๒ ก็ถูก ส.
ทำร้ายและชิงทรัพย์ไป
โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นการส่อว่ารู้เห็นเป็นใจด้วยกับ
ส. ขณะชิงทรัพย์ผู้เสียหายที่ ๑ และที่ ๒
แม้ว่าหลังเกิดเหตุจำเลยขับรถจักรยานยนต์ให้ ส. นั่งซ้อนท้ายกลับไป โดยรู้ว่า ส.
เอาทรัพย์สินของผู้เสียหายที่ ๑ และที่ ๒ มาด้วย
แต่จำเลยก็มิได้เข้าไปเกี่ยวข้องหรือได้รับส่วนแบ่งทรัพย์สินที่ ส.
ได้มาจากการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ การที่ ส. เอาทรัพย์ของผู้เสียหายที่ ๑
และที่ ๒ ไปเป็นการตัดสินใจของ ส. ตามลำพังซึ่งอยู่นอกเหนือเจตนาของจำเลย
จำเลยไม่มีความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์ตามฟ้อง
ข้อเท็จจริง
พยานโจทก์เบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุ
ส. ขอยืมรถจักรยานยนต์จากพยานโดยบอกว่าจะไปเอาเรื่องคนที่มองหน้าตนและ ส.
ชวนจำเลยให้ขับรถจักรยานยนต์ไปกับ ส.
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุซึ่งเป็นร้านอาหาร
ส. มุ่งเข้าไปทำร้ายผู้เสียหายที่ ๓ ทันที ส่วนจำเลยขับรถไปจอดบริเวณหน้าร้าน
ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าขณะที่ ส.
ชิงทรัพย์ผู้เสียหายที่ ๑ และที่ ๒ นั้น
จำเลยได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นการส่อให้เห็นว่ารู้เห็นเป็นใจด้วยกับการที่
ส. ชิงทรัพย์ผู้เสียหายที่ ๑ และที่ ๒
เจตนา
การที่จะถือว่าผู้กระทำมีเจตนา
จะต้องเป็นในกรณีดังนี้ คือ
๑. ผู้กระทำต้อง “รู้”
ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิด(มาตรา ๕๙ วรรคสาม) และ
๒.ผู้กระทำต้อง “ประสงค์ต่อผล”
ของการกระทำของตนนั้น หรือมิฉะนั้นก็จะต้อง “เล็งเห็นผล”
ของการกระทำของตนนั้น(มาตรา ๕๙ วรรคสอง)
การที่จะถือว่าผู้กระทำมีเจตนาตามมาตรา
๓๓๔ ได้ ผู้กระทำจะต้องรู้ข้อเท็จจริงที่ว่าการกระทำของตนเป็นการ “เอาไป”
และรู้ด้วยว่าวัตถุแห่งการกระทำเป็น “ทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย”
ผู้กระทำต้องประสงค์ต่อผล “ประสงค์ต่อผล”
หมายความว่า มุ่งหมายจะให้เกิดผล หากเกิดผลตามที่มุ่งหมายก็เป็นผลสำเร็จ
เจตนาพิเศษ คือเจตนาให้เกิดผลโดยตรงเท่านั้น
( อ้างอิง เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์. คำอธิบายกฎหมายอาญา
ภาค ๑ บทบัญญัติทั่วไป ฉบับพิมพ์ครั้งที่ ๑๐ แก้ไขเพิ่มเติม. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ พลสยาม พริ้นติ้ง
ประเทศไทย, ๒๕๕๑. )
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๕๙ บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา
เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท
ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา
ได้แก่กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำและในขณะเดียวกันผู้กระทำประสงค์ต่อผล
หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด
จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้
มาตรา ๘๓ ในกรณีความผิดใดเกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไป
ผู้ที่ได้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ
ต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
มาตรา ๓๓๙ ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย
หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ
(๑)
ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป
(๒) ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น
(๓) ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้
(๔) ปกปิดการกระทำความผิดนั้น
หรือ
(๕) ให้พ้นจากการจับกุม
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสองแสนบาท
ถ้าความผิดนั้นเป็นการกระทำที่ประกอบด้วยลักษณะดังที่บัญญัติไว้ในอนุมาตราหนึ่งอนุมาตราใดแห่งมาตรา
๓๓๕ หรือเป็นการกระทำต่อทรัพย์ที่เป็นโค กระบือ เครื่องกลหรือเครื่องจักรที่ผู้มีอาชีพกสิกรรมมีไว้สำหรับประกอบกสิกรรม
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงสิบห้าปี
และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสามแสนบาท
ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี
และปรับตั้งแต่สองแสนบาทถึงสี่แสนบาท
ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี
และปรับตั้งแต่สามแสนบาทถึงสี่แสนบาท
ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
0 Comments
แสดงความคิดเห็น