ห.
มารดายกที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องเพื่อปลูกบ้านและทำประโยชน์ในที่ดินตั้งแต่ปี ๒๕๓๙
หาใช่อนุญาตให้ผู้ร้องอาศัยอยู่ในที่ดินไม่
แม้การยกที่ดินให้แก่ผู้ร้องมิได้จดทะเบียนการให้ตามกฎหมาย
ทำให้นิติกรรมการยกให้เป็นโมฆะก็ตาม แต่ผู้ร้องได้ครอบครองโดยการปลูกบ้านและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาตลอดตั้งแต่ปี
๒๕๓๙ โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกินกว่า ๑๐ ปี
ผู้ร้องจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๘๒
เพิ่มเติม
“ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ” เป็นเรื่องในใจ
ต้องอาศัยพฤติการณ์ต่างๆ
แห่งการเข้ายึดถือครอบครองมาประกอบว่าพอจะเป็นการยึดถือครอบครองอย่างเป็นเจ้าของหรือไม่(ฎีกาที่
๙๕๖/๒๕๕๒)
ผู้ร้องได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทโดยได้รับการยกให้มาจากมารดา
เมื่อการโอนมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การให้จึงตกเป็นโมฆะ
เมื่อผู้ร้องครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทต่อมา ผู้ร้องจึงอ้างได้ว่าเป็นการครอบครองอยู่อาศัยในที่ดินพิพาทด้วยความสงบ
เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของ ซึ่งก็คือการครอบครองปรปักษ์นั่นเอง(ฎีกาที่
๒๐๓/๒๕๕๒)
อ้างอิง
บัญญัติ
สุชีวะ. คำอธิบายกฎหมายลักษณะทรัพย์. พิมพ์ครั้งที่ ๑๗. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์กรุงสยามพับลิชชิ่ง, ๒๕๕๙.
ข้อเท็จจริง
ห. มีบุตร ๑๓ คนรวมทั้งผู้ร้อง
ผู้คัดค้านทั้งสอง และ ส.
เดิม ห.
เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๔๘๑๘ เนื้อที่ ๑ ไร่ ๒ งาน ๘๓ ตารางวา
ปี ๒๕๓๙
ผู้ร้องปลูกบ้านในที่ดินพิพาทโดยประกอบกิจการร้านอาหารและเข้าอยู่อาศัย เนื้อที่ ๑
งาน ๔๒ ตารางวา
ปี ๒๕๔๔ ผู้คัดค้านที่ ๑ ปลูกบ้านในที่ดินพิพาท
ปี ๒๕๔๗ ส.
น้องชายของผู้ร้องและผู้คัดค้านทั้งสอง ปลูกบ้านในที่ดินพิพาท
ผู้คัดค้านที่ ๒
แม้จะยังไม่ได้ปลูกบ้าน แต่ก็ได้ถมดินในที่ดินพิพาทเนื้อที่ ๕๐ ตารางวา
๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ห.
ได้ทำหนังสือให้ที่ดินโฉนดดังกล่าวให้แก่ผู้คัดค้านทั้งสองโดยเสน่หา
ตามสำเนาหนังสือให้ที่ดินและสำเนาสารบัญจดทะเบียนหลังโฉนดที่ดิน
คำวินิจฉัย
ผู้ร้องนำสืบว่า ห.
มารดาเป็นผู้ยกที่ดินพิพาทให้ผู้ร้อง ส่วนผู้คัดค้านทั้งสองโต้แย้งว่า
ผู้ร้องอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยได้รับอนุญาตจาก ห. เท่านั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ผู้ซึ่งจะทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวว่าเป็นเช่นไร คือ ห. แต่ ห. ได้เสียชีวิตไปแล้ว
จึงคงมีพยานเฉพาะในส่วนของผู้ร้อง ผู้คัดค้านทั้งสองและญาติพี่น้องเท่านั้น
ซึ่งแต่ละคนต้องถือว่าเป็นพยานที่มีส่วนได้เสียเกี่ยวพันเป็นญาติกันทั้งนั้น
ซึ่งจะเบิกความไปทางใดทางหนึ่งก็ได้
จึงเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานว่าพยานหลักฐานของผู้ร้องหรือผู้คัดค้านฝ่ายใดมีน้ำหนักให้รับฟังได้มากกว่ากัน
เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นพี่สาวคนโต
ผู้คัดค้านที่ ๑ และ ส.
ต่างก็ปลูกบ้านอย่างมั่นคงถาวรในโฉนดที่ดินแปลงเดียวกันเป็นสัดส่วน ผู้คัดค้านที่
๒ เข้ามาถมดินในที่ดินของตนเองประมาณ ๕๐ ตารางวา เพื่อเตรียมปลูกบ้านเช่นเดียวกัน
ย่อมแสดงให้เห็นว่า ห. ได้ยกที่ดินให้แก่ผู้ร้อง ผู้คัดค้านทั้งสองและ ส.
มาเป็นเวลานานแล้ว หาใช่กรณีที่ ห. อนุญาตให้ผู้ร้องรวมทั้งผู้คัดค้านทั้งสองและ
ส. เข้าไปปลูกบ้านอาศัยแต่อย่างใดไม่
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๓๘๒ บุคคลใดครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นไว้โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ
ถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาสิบปี
ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาห้าปีไซร้ ท่านว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์
0 Comments
แสดงความคิดเห็น