คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๕๙๘๐/๒๕๖๐
จำเลยใช้ยานพาหนะบนทางหลวงมีน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้จำนวนมาก
โดยไม่คำนึงว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงเพียงใดต่อสภาพทางหลวงแผ่นดินซึ่งเป็นสมบัติของส่วนรวมและมีไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน
การกระทำดังกล่าวของจำเลยทำให้ผู้ร่วมใช้เส้นทางสัญจรไปมาต้องเสี่ยงต่ออันตรายที่เกิดจากสภาพของยานพาหนะที่บรรทุกน้ำหนักเป็นจำนวนมาก
จนเกินกว่าที่ผู้ขับจะควบคุมให้แล่นไปได้อย่างปลอดภัย
พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยนับว่าร้ายแรง แม้ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน
ยังไม่สมควรที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย
ข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติทางหลวง
พ.ศ.๒๕๓๕ มาตรา ๖๑, ๗๓/๒
คดีนี้จำเลยขับรถพ่วงบรรทุกข้าวสาร
มีน้ำหนักยานพาหนะของรถลากจูงและรถพ่วงรวมน้ำหนักบรรทุก จำนวน ๖๕,๗๓๐ กิโลกรัม
ซึ่งเกินกว่าน้ำหนักที่กำหนดตามประกาศของผู้อำนวยการทางหลวง เป็นจำนวน ๑๕,๒๓๐
กิโลกรัม
ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุก ๒ เดือน
จำเลยให้การรับสารภาพ คงจำคุก ๑ เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับ
๕,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ ๑ ปี..ฯลฯ
โจทก์ฎีกา
โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า
ไม่รอการลงโทษจำคุก ไม่ลงโทษปรับ ...ฯลฯ
ฎีกาที่ ๑๓๑/๒๕๖๑ คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการได้ออกประกาศห้ามมิให้บุคคลใดขนย้ายหัวมันสำปะหลังสดหรือมันเส้นอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างรวมกัน
ซึ่งมีปริมาณครั้งละตั้งแต่หนึ่งหมื่นกิโลกรัมขึ้นไป ออกจากท้องที่อำเภอที่ระบุไว้ในประกาศ
ก็เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในด้านราคา ปริมาณ และรักษาเสถียรภาพระบบตลาดมันสำปะหลังสดและมันเส้นในประเทศ
การกระทำความผิดของจำเลยโดยการฝ่าฝืนประกาศของคณะกรรมการการดังกล่าว นอกจากจะส่งผลกระทบต่อราคามันสำปะหลังสดและมันเส้นแล้ว
ยังก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ทั้งเป็นการใช้ยานพาหนะบรรทุกหัวมันสำปะหลังสดบนทางหลวงที่มีน้ำหนักบรรทุกเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้เป็นจำนวนมาก
โดยไม่คำนึงว่าจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงเพียงใดต่อสภาพทางหลวงแผ่นดินซึ่งเป็นสมบัติของส่วนรวมและมีไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน
ทำให้ผู้ร่วมใช้เส้นทางสัญจรไปมาต้องเสี่ยงต่ออันตรายที่อาจเกิดจากสภาพของยานพาหนะที่บรรทุกน้ำหนักเป็นจำนวนมาก
พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยนับว่าร้ายแรง จึงไม่สมควรที่จะรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย
เพิ่มเติม
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๕๖ บัญญัติว่า “ผู้ใดกระทำความผิดซึ่งมีโทษจำคุกหรือปรับ และในคดีนั้นศาลจะลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปีไม่ว่าจะลงโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตามหรือลงโทษปรับ
ถ้าปรากฏว่าผู้นั้น
(๑)
ไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน หรือ
(๒)
เคยรับโทษจำคุกมาก่อนแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท
หรือความผิดลหุโทษ หรือเป็นโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือ
(๓)
เคยรับโทษจำคุกมาก่อนแต่พ้นโทษจำคุกมาแล้วเกินกว่าห้าปี แล้วมากระทำความผิดอีก
โดยความผิดในครั้งหลังเป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
และเมื่อศาลได้คำนึงถึงอายุ
ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ
และสิ่งแวดล้อมของผู้นั้น หรือสภาพความผิด หรือการรู้สึกความผิด
และพยายามบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้น หรือเหตุอื่นอันควรปรานีแล้ว ศาลจะพิพากษาว่าผู้นั้นมีความผิดแต่รอการกำหนดโทษหรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้
ไม่ว่าจะเป็นโทษจำคุกหรือปรับอย่างหนึ่งอย่างใดหรือทั้งสองอย่าง
เพื่อให้โอกาสกลับตัวภายในระยะเวลาที่ศาลจะได้กำหนดแต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่ศาลพิพากษา
โดยจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้นั้นด้วยหรือไม่ก็ได้...”
มาตรา
๕๖ ใช้คำว่า “ไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน” หมายความว่า ไม่เคยได้รับโทษจำคุกจริงๆ มาก่อน...
ฎีกาที่ ๑๙๘๓/๒๔๙๗ แม้จำเลยเคยต้องคำพิพากษาให้จำคุก แต่ให้รอการลงโทษไว้ แล้วมาทำผิดขึ้นอีกภายในกำหนดที่รอไว้
ศาลจะรอการลงโทษในความผิดครั้งหลังนี้อีกได้ และเมื่อรอการลงโทษในคดีหลังนี้อีก ก็จะลงโทษที่รอไว้ไม่ได้
โทษที่จะรอการลงโทษได้นั้นต้องเป็นโทษจำคุก
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖ จะรอการลงโทษกักขังไม่ได้(ฎีกาที่ ๗๒๑๔/๒๕๓๗)
ฎีกาที่
๘๖๕๖/๒๕๔๘ แม้คดีก่อนเป็นโทษจำคุกของศาลทหารถือว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน
ในคดีนั้นศาลจะลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
หมายความถึง โทษที่ศาลจะลงจริงๆ ไม่ว่าความผิดนั้นจะมีอัตราโทษเท่าใดก็ตาม
ในการกระทำความผิด
“หลายกรรมต่างกัน” ตามมาตรา ๙๑ ซึ่งศาลต้องลงโทษผู้นั้นทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป การพิจารณาว่าจะรอการลงโทษตามมาตรา
๕๖ ได้หรือไม่นั้น ต้องแยกพิจารณาโทษจำคุกแต่ละกระทง มิใช่เอาโทษจำคุกทุกกระทงมารวมกัน
เช่น หากศาลพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยเป็นรายกระทง กระทงละ ๒ ปี รวม ๕ กระทง เป็นโทษจำคุก
๑๐ ปี เช่นนี้ ศาลใช้ดุลพินิจรอการลงโทษได้ โดยถือว่าศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเป็นคดีๆ
ไป ตามกระทงความผิดที่โจทก์รวมฟ้องมาไม่เกินคดีละ ๕ ปี (ฎีกาที่ ๗๘๙/๒๕๒๔,
๑๕๙๔/๒๕๒๓, ๑๑๐๒/๒๕๒๕)
อ้างอิง
เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์. คำอธิบายกฎหมายอาญา
ภาค ๑ บทบัญญัติทั่วไป พิมพ์ครั้งที่ ๑๐ แก้ไขเพิ่มเติม. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์พลสยามพริ้นติ้ง(ประเทศไทย),
๒๕๕๑.
สหรัฐ กิติ ศุภการ. หลักและคำพิพากษากฎหมายอาญา
พิมพ์ครั้งที่ ๒ปรับปรุงใหม่. กรุงเทพมหานคร:
สำนักพิมพ์ อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง จำกัด(มหาชน), ๒๕๕๗.
พระราชบัญญัติทางหลวง
พ.ศ.๒๕๓๕
มาตรา ๖๑ เพื่อรักษาทางหลวง
ผู้อำนวยการทางหลวงมีอำนาจประกาศในราชกิจจานุเบกษาห้ามใช้ยานพาหนะบนทางหลวงโดยที่ยานพาหนะนั้นมีน้ำหนัก
น้ำหนักบรรทุกหรือน้ำหนักลงเพลาเกินกว่าที่กำหนด
หรือโดยที่ยานพาหนะนั้นอาจทำให้ทางหลวงเสียหาย
ประกาศของผู้อำนวยการทางหลวงตามวรรคหนึ่งต้องได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมทางหลวงสำหรับทางหลวงพิเศษ
ทางหลวงแผ่นดิน และทางหลวงสัมปทาน หรือได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมทางหลวงชนบท
สำหรับทางหลวงชนบท หรือได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัดสำหรับทางหลวงท้องถิ่น
ในกรณีที่มีเหตุฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุเกิดขึ้นทำให้เกิดความเสียหายแก่ทางหลวงหรือไม่ปลอดภัยแก่การจราจรในทางหลวง
ให้เจ้าพนักงานซึ่งผู้อำนวยการทางหลวงแต่งตั้งให้ควบคุมทางหลวงมีอำนาจประกาศห้ามใช้ยานพาหนะบนทางหลวงนั้นได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด
โดยให้ปิดประกาศนั้นไว้ในที่เปิดเผย ณ
บริเวณที่มีเหตุฉุกเฉินหรืออุบัติเหตุเกิดขึ้นนั้น
มาตรา ๗๓/๒ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๕๙
วรรคหนึ่ง หรือฝ่าฝืนประกาศของผู้อำนวยการทางหลวงตามมาตรา ๖๑ วรรคหนึ่ง
หรือประกาศของเจ้าพนักงานซึ่งผู้อำนวยการทางหลวงแต่งตั้งให้ควบคุมทางหลวงตามมาตรา
๖๑ วรรคสาม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
0 Comments
แสดงความคิดเห็น