การที่โจทก์นำหนี้ตามคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดแล้วมาเป็นมูลฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายมิใช่เรื่องการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งตามที่บัญญัติไว้ในภาค
๔ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเกี่ยวกับระยะเวลาการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๒๗๑( เดิม) มาใช้บังคับแก่กรณีนี้ได้แต่เป็นกรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยให้ล้มละลายโดยอาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษาของศาลจังหวัดมีนบุรี
ซึ่งเป็นสิทธิเรียกร้องอันตั้งหลักฐานขึ้นโดยคำพิพากษาที่ถึงที่สุดมีอายุความ ๑๐ ปี
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๓๒ ดังนั้น เมื่อศาลจังหวัดมีนบุรีมีคำพิพากษาดังกล่าวเมื่อวันที่
๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ โดยคู่ความมิได้อุทธรณ์คดีดังกล่าวจึงถึงที่สุดเมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม
๒๕๔๘ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลาย เมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ จึงอยู่ภายในกำหนดอายุความ
๑๐ ปี นับแต่วันที่พิพากษาถึงที่สุด คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ
ข้อเท็จจริง
จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ต้องดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดระยะเวลาบังคับคดีคือ
๑๐ ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
๒๗๑(ปัจจุบัน มาตรา ๒๗๔) เมื่อศาลจังหวัดมีนบุรีมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน
๒๕๔๘ โจทก์ต้องดำเนินการบังคับคดีแก่จำเลยภายใน ๑๐ ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาดังกล่าว
แต่โจทก์หาได้ดำเนินการภายในกำหนดระยะเวลาบังคับคดีไม่ กลับนำมูลหนี้ดังกล่าวมาฟ้องจำเลยให้ล้มละลาย
ถือว่าเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
เพิ่มเติม
การขอบังคับคดี
กำหนดระยะเวลาบังคับคดีของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาตามมาตรา
๒๗๔ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ระยะเวลา ๑๐ ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา
ไม่จำต้องให้คดีถึงที่สุดเสียก่อน (สมชาย จุลนิติ์, คำอธิบายกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ภาค ๔ (พิมพ์ครั้งที่ ๓), หน้า ๘๙.) ซึ่งคดีนี้
ศาลจังหวัดมีนบุรีมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ กำหนดระยะเวลาการบังคับภายใน
๑๐ ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่ง คือ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
(ตามประมวลกฎมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๙๓/๕ วรรคสอง)
ในกรณีที่มีการต่อสู้คดีกันมากกว่าหนึ่งชั้นศาล
เช่น สู้กันถึงชั้นอุทธรณ์หรือสู้ถึงชั้นฎีกา ก็ให้เริ่มนับระยะเวลา ๑๐
ปีตั้งแต่วันที่มีคำพิพากษาของศาลสุดท้ายในคดีนั้น( สมชาย จุลนิติ์ ,
เรื่องเดียวกัน, หน้า ๙๐.)
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๑๔๗ วรรคสอง คำพิพากษาหรือคำสั่งใด
ซึ่งอาจอุทธรณ์ฎีกา หรือมีคำขอให้พิจารณาใหม่ได้นั้นถ้ามิได้อุทธรณ์
ฎีกาหรือร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายในเวลาที่กำหนดไว้
ให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่ระยะเวลาเช่นว่านั้นได้สิ้นสุดลง ถ้าได้มีอุทธรณ์ ฎีกา
หรือมีคำขอให้พิจารณาใหม่ และศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาหรือศาลชั้นต้นซึ่งพิจารณาคดีเรื่องนั้นใหม่
มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓๒ คำพิพากษาหรือคำสั่งเช่นว่านั้นให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่วันที่มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ
มาตรา ๒๗๔ ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีหรือบุคคลที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ชำระหนี้
(ลูกหนี้ตามคำพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคำบังคับที่ออกตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน
คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีหรือบุคคลที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ได้รับชำระหนี้
(เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา) ชอบที่จะร้องขอให้มีการบังคับคดีโดยวิธียึดทรัพย์สิน
อายัดสิทธิเรียกร้อง หรือบังคับคดีโดยวิธีอื่นตามบทบัญญัติแห่งภาคนี้ภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่ง
และถ้าเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องใดไว้
หรือได้ดำเนินการบังคับคดีโดยวิธีอื่นไว้บางส่วนแล้วภายในระยะเวลาดังกล่าว ก็ให้ดำเนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้อง
หรือบังคับคดีโดยวิธีอื่นนั้นต่อไปจนแล้วเสร็จได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๙๓/๓๒ สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุด
หรือโดยสัญญาประนีประนอมยอมความ ให้มีกำหนดอายุความสิบปี ทั้งนี้ ไม่ว่าสิทธิเรียกร้องเดิมจะมีกำหนดอายุความเท่าใด
0 Comments
แสดงความคิดเห็น