โจทก์ร่วมสมัครใจวิวาทกับจำเลย โจทก์ร่วมจึงมิใช่ผู้เสียหายในคดีอาญาโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๒(๔) จึงไม่อาจขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีส่วนอาญาได้ แต่สำหรับคดีส่วนแพ่งที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๔๔/๑ บัญญัติให้ผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุได้รับอันตรายแก่ชีวิต
ร่างกายหรือจิตใจได้นั้น หมายถึงผู้ที่มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนโดยพิจารณาจากสิทธิในทางแพ่งมิใช่นำเอาความหมายของคำว่าผู้เสียหายในคดีอาญามาใช้บังคับ
แม้โจทก์ร่วมจะไม่อาจขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีนี้ แต่ก็มีสิทธิเป็นผู้ร้องขอเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้
ผู้ร้องและจำเลยสมัครใจต่อสู้กันถือได้ว่าต่างฝ่ายต่างก่อให้เกิดความเสียหายด้วยกัน
แต่เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายใช้อาวุธปืนลูกซองสั้น ซึ่งมีวิธีกระสุนกระจายเป็นวงกว้างยิงไปทางผู้ร้องจนกระสุนปืนถูกผู้ร้องได้รับอันตรายสาหัส
ในขณะที่จำเลยไม่ถูกกระสุนปืนที่ร่างกายเลย ตามพฤติการณ์เป็นที่เห็นได้ว่าฝ่ายจำเลยเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายยิ่งกว่าฝ่ายผู้ร้อง
จึงเห็นสมควรกำหนดให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ฝ่ายผู้ร้องกึ่งหนึ่งของค่าเสียหายทั้งหมด
คำวินิจฉัยข้อเท็จจริง
“โจทก์ร่วมสมัครใจวิวาทกับจำเลย”
โจทก์ร่วมอ้างตนเองเบิกความเป็นพยานว่า
หลังถอยรถเข้าบ้านแล้ว โจทก์ร่วมลงไปปิดประตูเหล็กม้วน ระหว่างกำลังปิดประตูเหล็กม้วน
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงมาจากช่องบานเกล็ดหน้าต่างบ้านของจำเลย กระสุนปืนถูกขาโจทก์ร่วมทั้งสองข้าง ส่วนจำเลยอ้างตนเองเบิกความเป็นพยานว่า
เมื่อโจทก์ร่วมลงจากรถแล้วได้ชักอาวุธปืนเล็งมาที่จำเลย จำเลยจึงปิดหน้าต่างโจทก์ร่วมยังคงถืออาวุธปืน
และตะโกนด่าและท้าทายจำเลยแล้วขู่ว่าจะยิงเข้าไปในบ้านของจำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงขู่ไป
โจทก์ร่วมจึงยิงปืนกลับมา ๕ นัด ซึ่งเป็นการเบิกความยันปากยันคำกัน แต่โจทก์ร่วมเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า
เมื่อถูกยิงนัดแรกแล้วนางสาวสมฤดีบุตรของโจทก์ร่วมเข้ามาพยุงโจทก์ร่วมเข้าไปในบ้าน
ระหว่างนั้นได้ยินเสียงปืนดังอีก ๑ นัด โจทก์ร่วมจึงหยิบอาวุธปืนจากตู้โชว์ในห้องนอนมาใช้ยิงจำเลยทันที
๔ ถึง ๕ นัด ซึ่งห้องนอนจะกั้นด้วยอิฐบล็อกและมีประตูไม้ปิดอยู่ แต่นางปราณีและนางสาวสมฤดีต่างเบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า
เมื่อโจทก์ร่วมถูกยิงนัดแรกแล้วนางสาวสมฤดีได้พยุงโจทก์ร่วมไปนั่งที่เก้าอี้ เมื่อมีเสียงปืนดังอีก
๑ นัด โจทก์ร่วมก็ใช้วุฒิปืนยิงตอบกลับไปทันที โดยนางปราณีเบิกความด้วยว่า โจทก์ร่วมยังคงนั่งอยู่ไม่สามารถลุกได้และยิงไปในขณะที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้
ซึ่งเป็นคำเบิกความที่แตกต่างกันในข้อที่ว่าเมื่อจำเลยยิงปืนนัดที่สองแล้ว โจทก์ร่วมใช้ปืนยิงตอบโต้ไปในทันทีหรือต้องเปิดประตูห้องนอนเข้าไปหยิบอาวุธปืนจากตู้โชว์มาใช้จริง
เมื่อนางปราณีเป็นภรรยาของโจทก์ร่วมและนางสาวสมฤดีเป็นบุตรของโจทก์ร่วมแล้ว ย่อมไม่มีเหตุที่จะเบิกความให้เป็นผลเสียแก่โจทก์ร่วม
โดยไม่เป็นความจริง จึงเชื่อว่าโจทก์ร่วมมีอาวุธปืนอยู่ที่ตัวตั้งแต่ตอนที่ถูกจำเลยใช้อาวุธปืนยิงนัดแรกแล้ว
ซึ่งเจือสมกับที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์ร่วมชักปืนออกมาท้าทายจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ร่วมสมัครใจวิวาทกับจำเลย
สำหรับจำนวนค่าสินไหมทดแทนนั้นในส่วนค่ารักษาพยาบาลผู้ร้องมีใบเสร็จรับเงินเป็นพยานซึ่งรวมค่าใช้จ่ายได้
๖๗,๗๖๔ บาท แต่สำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในส่วนนี้ผู้ร้องไม่มีหลักฐานเอกสารใดมาเป็นพยานคงมีแต่คำเบิกความของผู้ร้องเพียงลอยๆ
ซึ่งไม่อาจรับฟังได้ จึงฟังได้ว่าผู้ร้องเสียค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เป็นเงิน ๖๗,๗๖๔
บาท และในส่วนค่าขาดรายได้ผู้ร้องคงเบิกความลอยๆ ว่าขาดรายได้เดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท โดยไม่ปรากฏว่าผู้ร้องมีรายได้เดือนละเท่าใด
จึงเห็นสมควรกำหนดให้เดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท เป็นเวลา ๔ เดือน ตามระยะเวลาที่ขอมา รวมค่าสินไหมทดแทนทั้งสิ้น
๑๒๗,๗๖๔ บาท เมื่อคิดเพียงกึ่งหนึ่งแล้วจำเลยคงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน
๖๓,๘๘๒ บาท
คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๔๐๐/๒๕๖๐(ประชุมใหญ่)
วินิจฉัยไว้ว่า ผู้เสียหายที่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม
ป.วิ.อ. มาตรา ๔๔/๑ ต้องพิจารณาสิทธิในทางแพ่ง
ไม่ใช่กรณีที่จะนำความหมายของคำว่าผู้เสียหายในทางคดีอาญาตามมาตรา ๒(๔)
มาใช้บังคับจึงไม่จำต้องเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย
เพิ่มเติม
ปัญหาเรื่องผู้เสียหายหรือผู้ร้องมีส่วนผิด
มักจะพบในคดีละเมิดเป็นส่วนมาก ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๔๔๒
ที่ให้นำมาตรา ๒๒๓ ไปใช้โดยอนุโลม ส่วนคดีที่มูลหนี้มาจากสัญญานั้นมีน้อย และศาลยกขึ้นวินิจฉัยได้
แม้จำเลยจะไม่ได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ซึ่งจำนวนค่าเสียหายจะลดลงตามส่วนหรืออาจไม่ได้รับชดใช้เลยก็ได้
( อ้างอิง ไพโรจน์ วายุภาพ. คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยหนี้
พิมพ์ครั้งที่ ๑๒. กรุงเทพมหานคร: สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา,๒๕๖๑. )
คดีนี้ จำเลยใช้ปืนลูกซองสั้นซึ่งมีวิถีกระสุนกระจายเป็นวงกว้างยิงไปทางผู้ร้องจนกระสุนปืนถูกผู้ร้องได้รับบาดเจ็บสาหัส
ส่วนผู้ร้องใช้อาวุธปืนพกยิงซึ่งจำเลยไม่ถูกกระสุนปืน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ฝ่ายจำเลยเป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายยิ่งกว่าผู้ร้อง เมื่อผู้ร้องสมัครใจวิวาทกับจำเลยจึงถือว่าผู้ร้องมีส่วนผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๒๒๓ ในการกำหนดค่าเสียหายจึงลดลงตามส่วน ซึ่งคดีนี้ศาลฎีกากำหนดให้เพียงกึ่งหนึ่งของจำนวนค่าเสียหายทั้งหมด
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๒๒๓ ถ้าฝ่ายผู้เสียหายได้มีส่วนทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งก่อให้เกิดความเสียหายด้วยไซร้
ท่านว่าหนี้อันจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ฝ่ายผู้เสียหายมากน้อยเพียงใดนั้นต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณ
ข้อสำคัญก็คือว่าความเสียหายนั้นได้เกิดขึ้นเพราะฝ่ายไหนเป็นผู้ก่อยิ่งหย่อนกว่ากันเพียงไร
มาตรา ๔๔๒ ถ้าความเสียหายได้เกิดขึ้นเพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของผู้ต้องเสียหายประกอบด้วยไซร้
ท่านให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา ๒๒๓ มาใช้บังคับ โดยอนุโลม
0 Comments
แสดงความคิดเห็น