จำเลยมีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาท
เป็นการถือครองที่ดินแทนทายาท
คือโจทก์ทั้งสองในฐานะที่เป็นเจ้าของร่วมกันระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลย
หาใช่เป็นการยึดถือครอบครองไว้ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวไม่ แม้จำเลยจะครอบครองนานเพียงใดก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์
และการที่โจทก์ทั้งสองขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเป็นการขอแบ่งทรัพย์ตาม ป.พ.พ. มาตรา
๑๓๖๓ โดยไม่มีอายุความ มิใช่เป็นการฟ้องเรียกให้แบ่งมรดก
จำเลยจึงไม่อาจยกเอาเรื่องอายุความมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๗๕๔ มาปรับแก่คดีได้
เพิ่มเติม
คดีมรดก
อาจารย์กีรติ กาญจนรินทร์ ให้ความหมายไว้ว่า “คดีมรดก หมายถึง
คดีที่ทายาทหรือผู้สืบสิทธิของทายาทฟ้องเรียกร้องเอาส่วนแบ่งทรัพย์มรดกส่วนของตน
โดยสิทธิตามกฎหมายหรือโดยพินัยกรรมจากผู้จัดการมรดก หรือทายาทอื่นหรือผู้สืบสิทธิของทายาทอื่น
หรือผู้รับพินัยกรรมอื่นในทรัพย์มรดกรายเดียวกัน”
ฎีกาที่
๓๓๑๖/๒๕๔๒ คดีมรดก หมายความว่า คดีที่พิพาทกันระหว่างทายาทที่มีสิทธิในมรดกด้วยกัน
ด้วยเรื่องสิทธิเรียกร้องส่วนแบ่งทรัพย์มรดก
ฎีกาที่
๖๓๒๔/๒๕๕๙ กำหนดอายุความมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๗๕๔ ใช้บังคับสำหรับกรณีที่ทายาทฟ้องเรียกร้องทรัพย์มรดกจากทายาทที่ครอบครองทรัพย์มรดกซึ่งยังมิได้แบ่งปันกัน
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่ามีการแบ่งปันมรดกกันแล้ว
โจทก์ให้จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นส่วนของโจทก์แทน
และฟ้องเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลย
จึงเป็นการเรียกที่ดินพิพาทคืนจากจำเลยในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ผู้ใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์ของตนคืนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้
มิใช่กรณีทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกด้วยกันพิพาทกันด้วยเรื่องสิทธิเรียกร้องส่วนแบ่งทรัพย์มรดกอันจะอยู่ภายใต้บังคับอายุความมรดกตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๗๕๔ ดังนั้น แม้โจทก์จะฟ้องจำเลยเกินสิบปี
นับแต่บิดาโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย คดีโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ
ข้อเท็จจริง
ปู่มีบุตรทั้งหมด
๔ คน ได้แก่ ล., บิดาโจทก์ทั้งสองและจำเลย, ซ. และ ว.
ปี ๒๔๗๓
ปู่ซื้อที่ดิน โดยใส่ชื่อตนเอง บิดาโจทก์ทั้งสองและจำเลย และ ล.
ในสัญญาซื้อขายที่ดิน
ปี ๒๔๗๗
บิดาโจทก์ทั้งสองและจำเลย ถึงแก่ความตาย
ปี ๒๔๘๑
ปู่ถึงแก่ความตาย
ตามประเพณีจีน
บุคคลซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่สุดจะเป็นผู้จัดการทรัพย์สิน
ล.ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่สุดจึงเป็นผู้จัดการทรัพย์สินต่อจากปู่
ปี ๒๔๙๑ ล.
ดำเนินการขอรังวัดออกโฉนดที่ดิน โดยใส่ชื่อ ล., ซ., ว. และจำเลย
เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน
ปี ๒๕๑๑, ๒๕๑๕
ล., ซ. และ ว. ถึงแก่ความตาย
ปี ๒๕๔๖
จำเลยและทายาทแต่ละสายของบุตรปู่ ยินยอมแบ่งที่ดินเป็น ๔ ส่วน
เพื่อแบ่งปันกันระหว่างเจ้าของรวมตามคำพิพากษาตามยอม
ก่อนฟ้องคดีนี้ไม่ถึงหนึ่งปี
( ฟ้องวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๒) จำเลยเคยเชิญโจทก์ทั้งสองไปที่บ้าน
จำเลยประสงค์จะแบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองบางส่วนคนละ ๑๖ ไร่
แต่โจทก์ทั้งสองไม่รับข้อเสนอ เพราะไม่เป็นการแบ่งส่วนให้เท่าเทียมกัน
จำเลยตอบทนายโจทก์ทั้งสองถามค้านว่า
จำเลยไม่ทราบสาเหตุที่ใส่ชื่อจำเลยในโฉนดที่ดิน
เนื่องจากบุตรคนอื่นของปู่ต่างเป็นผู้ชาย ส่วนบิดาจำเลยถึงแก่ความตาย จึงเหลือจำเลยเป็นผู้ชายคนเดียว
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๓๖๓ เจ้าของรวมคนหนึ่ง ๆ
มีสิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์สินได้ เว้นแต่จะมีนิติกรรมขัดอยู่
หรือถ้าวัตถุที่ประสงค์ที่เป็นเจ้าของรวมกันนั้นมีลักษณะเป็นการถาวร
ก็เรียกให้แบ่งไม่ได้
สิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์สินนั้น ท่านว่าจะตัดโดยนิติกรรมเกินคราวละสิบปีไม่ได้
ท่านว่าเจ้าของรวมจะเรียกให้แบ่งทรัพย์สินในเวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควรไม่ได้
สิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์สินนั้น ท่านว่าจะตัดโดยนิติกรรมเกินคราวละสิบปีไม่ได้
ท่านว่าเจ้าของรวมจะเรียกให้แบ่งทรัพย์สินในเวลาที่ไม่เป็นโอกาสอันควรไม่ได้
มาตรา ๑๗๕๔ ห้ามมิให้ฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปี
นับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย หรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้
หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก
0 Comments
แสดงความคิดเห็น