เหตุที่ผู้ตายมีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินเพียงผู้เดียวเนื่องจากผู้ตายได้รับการยกให้ที่ดินพิพาทจากบิดามารดา ผู้ตายครอบครองทำประโยชน์มากกว่า ๔๐ ปี ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่ผู้ตายอยู่กินและจดทะเบียนสมรสกับผู้ร้องสอดที่ดินพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินที่ผู้ตายมีอยู่ก่อนสมรส เป็นสินส่วนตัวของผู้ตายตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๔๗๑ (๑) แม้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่พิพาทให้แก่ผู้ตายหลังจากผู้ตายจดทะเบียนสมรสกับผู้ร้องสอดแล้ว ก็ไม่มีผลทำให้ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสินส่วนตัวของผู้ตายกลับกลายเป็นทรัพย์สินที่ผู้ตายได้มาในระหว่างสมรสอันจะเป็นสินสมรสตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๔๗๔ (๑) เมื่อที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของผู้ตาย ผู้ตายจึงมีสิทธิทำพินัยกรรมยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยได้

เพิ่มเติม
               มาตรา ๑๔๗๑ บัญญัติว่า “สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน (๑) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส” คำว่า “ที่มีอยู่ก่อนสมรส” หมายความว่า ก่อนที่ได้จดทะเบียนสมรสเป็นสามีภริยากัน
               การที่ผู้ตายกับจำเลยร่วมกันกู้เงินซื้อที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์ ก่อนจดทะเบียนสมรสและช่วยกันผ่อนชำระหนี้ธนาคารเข้าลักษณะเป็นหุ้นส่วนกันมาแต่เดิม แต่การถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์ไม่ปรากฏว่ามีการตกลงกันเป็นอย่างอื่น จึงเป็นการถือกรรมสิทธิ์รวมของผู้ตายกับจำเลยคนละครึ่ง ดังนั้น เมื่อที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์ดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่ผู้ตายกับจำเลยมีอยู่ก่อนสมรส จึงเป็นสินส่วนตัวของผู้ตายกับจำเลยฝ่ายละครึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๗๑ (๑)(ฎีกาที่ ๑๗๗๖/๒๕๕๘)
               การที่ผู้ร้องซื้อที่ดินพิพาทแล้วจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทก่อนที่ผู้ร้องกับจำเลยจะจดทะเบียนสมรสกัน ย่อมถือได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องมีอยู่ก่อนสมรสและเป็นสินส่วนตัวของผู้ร้องตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๔๗๑ (๑)(ฎีกาที่ ๓๙๔๓/๒๕๖๑)
               จำเลยได้รับการยกให้ที่ดินจากมารดาก่อนสมรสกับผู้ร้องที่ดินดังกล่าวจึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลย(ฎีกาที่ ๔๘๖๕/๒๕๓๖)

อ้างอิง
               หนังสือ
               สมชัย ฑีฆาอุตมากร. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ว่าด้วย ครอบครัว ฉบับสมบูรณ์. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์พลสยาม พริ้มติ้ง(ประเทศไทย), ๒๕๕๔.