ที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุ จึงต้องถือว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของรัฐ การที่จำเลยเข้าไปครอบครองที่ดินพิพาทโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานของกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ถึงแม้ในตอนแรกที่จำเลยเข้าไปครอบครองในช่วงปี ๒๕๓๓ อาจไม่สามารถชี้ให้เห็นเจตนาของจำเลยได้ชัดเจนว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุหรือไม่ แต่ต่อมาปรากฏข้อเท็จจริงตามหนังสือที่จำเลยอ้างส่งศาลซึ่งเป็นเอกสารที่จำเลยทำขึ้นและมีไปถึงกระทรวงการคลังและกรมธนารักษ์ ขอให้ทบทวนแนวเขตและเพิกถอนหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง(ทะเบียนที่ราชพัสดุ) เอกสารดังกล่าวแสดงข้อเท็จจริงว่า ในขณะนั้นจำเลยได้รับทราบแล้วว่าที่ดินพิพาทถูกกรมธนารักษ์กันไว้เป็นที่ราชพัสดุแล้ว แต่จำเลยอ้างว่าจำเลยไม่ใช่คู่ความในคดีนั้นจึงไม่ต้องผูกพัน และจำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินพิพาทจนกระทั่งถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้ เช่นนี้ จึงย่อมถือได้ว่าในวันเวลาเกิดเหตุตามที่โจทก์ฟ้องจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นขอรัฐ โดยรู้อยู่แล้วว่าที่ดินนั้นเป็นที่ของรัฐ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.ที่ดิน มาตรา ๙ (๑) ที่จะต้องมีบทกำหนดโทษตาม มาตรา ๑๐๘ ทวิ วรรคหนึ่ง

ข้อเท็จจริง
                พยานโจทก์เบิกความยืนยันข้อเท็จจริงเป็นทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุ แปลงหมายเลขที่ นม.๓๑๓๐ โดยที่ดินแปลงดังกล่าวและที่ดินบริเวณเดียวกัน มีการขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดินมาตั้งแต่ปี ๒๕๑๒
                หลังจากนั้นมีประชาชนบุกรุกเข้ามาครอบครองจำนวนมาก กรมธนารักษ์ในฐานะผู้ดูแลที่ดินราชพัสดุได้ดำเนินการเจรจาขอให้ประชาชนที่บุกรุกออกจากที่ดินที่บุกรุก ประชาชนส่วนใหญ่ยอมออกจากที่ดินที่บุกรุก บางรายดำเนินการให้สำนักงานที่ดิน กรมที่ดิน ออกเอกสารสิทธิคือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินที่บุกรุกเข้มาครอบครองและทำประโยชน์ให้ กระทรวงการคลังโดยกรมธนารักษ์โต้แย้งคัดค้านทุกรายและไม่มีรายใดได้เอกสารสิทธิจากกรมที่ดินเลย
                มีบางรายนำคดีขึ้นสู่ศาลโดยฟ้องกรมธนารักษ์เป็นจำเลยคดีถึงที่สุดในชั้นศาลฎีกาโดยศาลฎีกาวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติแล้วว่า ที่ดินในบริเวณเดียวกันกับที่ดินพิพาทเป็นที่ราชพัสดุ จำเลยได้รับทราบคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวแล้ว แต่ไม่ยอมออกจากที่ดินพิพาท ยังคงครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ตลอดมา
                พยานฝ่ายจำเลยเบิกความยืนยันข้อเท็จจริงทำนองเดียวกันว่า ที่ดินพิพาทไม่มีเอกสารสิทธิ

เพิ่มเติม
                การหวงห้ามที่ดินของรัฐ ซึ่งนับแต่มีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว ถือว่าที่ดินของรัฐ ถ้าบุคคลใดไม่มีสิทธิครอบครองอยู่ก่อนแล้ว ถือว่าเป็นที่หวงห้ามทั้งสิ้น โดยรัฐไม่จำต้องดำเนินการใดหรือวิธีการใดในการหวงห้ามที่ดินนั้นอีก ซึ่งแต่ก่อนจะต้องมีการออกพระราชกฤษฎีกาหวงห้ามที่ดินสำหรับสงวนไว้แก่ทางราชการ หรือหวงห้ามโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐ(สมศักดิ์ เอี่ยมพลับใหญ่ หนังสือคำอธิบายพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.๒๔๙๗ และประมวลกฎหมายที่ดิน ฉบับสมบูรณ์)
                ความผิดข้อหาเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ที่ดินของรัฐซึ่งเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตาม ป.ที่ดิน มาตรา ๙ และ ๑๐๘ ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดที่มีขึ้นตั้งแต่จำเลยเข้ายึดถือครอบครองและยังคงมีอยู่ตลอดเวลาที่จำเลยครอบครอง แม้จำเลยจะครอบครองมานานเกิน ๑๐ ปี คดีของโจทก์เฉพาะข้อหาความผิดตาม ป.ที่ดิน มาตรา ๙ และ ๑๐๘ ทวิ วรรคสอง ก็ไม่ขาดอายุความ(ฎีกาที่ ๒๔๐๖/๒๕๖๐)
                การเข้ายึดถือครอบครองที่ดินของรัฐ โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ แม้จะเสียภาษีบำรุงท้องที่ก็ตาม เป็นการต้องห้ามตามมาตรา ๙ แห่ง ป.ที่ดิน(ฎีกาที่ ๔๒๑๙/๒๕๕๖)
                ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตคลองน้ำดำอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกัน ซึ่งแม้ปัจจุบันคลองน้ำดำมีสภาพตื้นเขินโดยการเปลี่ยนแปลงสภาพตามธรรมชาติแต่เมื่อไม่มีการเพิกถอนก็ยังเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๔(๒) และเป็นที่ดินของรัฐ จึงต้องห้ามมิให้บุคคลใดเข้าไปยึดถือครอบครองตาม ป.ที่ดิน มาตรา ๙(๑) การที่จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทโดยการถมที่ดินในคลองน้ำดำเป็นการกระทำแก่ที่ดินซึ่งเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ประชาชนใช้ร่วมกันจึงเป็นความผิดตามมาตรา ๑๐๘ ทวิ วรรคสอง(ฎีกาที่ ๒๙๗๘/๒๕๕๓)

ประมวลกฎหมายที่ดิน
                มาตรา ๙ ภายใต้บังคับกฎหมายว่าด้วยการเหมืองแร่และการป่าไม้ ที่ดินของรัฐนั้น ถ้ามิได้มีสิทธิครอบครอง หรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่แล้ว ห้ามมิให้บุคคลใด
                (๑) เข้าไปยึดถือ ครอบครอง รวมตลอดถึงการก่นสร้างหรือเผาป่า
                มาตรา ๑๐๘ ทวิ นับตั้งแต่วันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับนี้ใช้บังคับ ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา ๙ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินห้าพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ