ในคดีขอจัดการมรดกของผู้ตายผู้ร้อง(จำเลยคดีนี้) ยื่นคำร้องว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายมีบุตร
๑ คน คือ ก. ผู้ร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ส่วนผู้คัดค้าน(โจทก์ที่
๒ คดีนี้) ยื่นคำคัดค้านว่าผู้คัดค้านมีส่วนได้เสียในทรัพย์มรดกของผู้ตายโดยถือกรรมสิทธิ์รวมและในนามผู้ตาย
ผู้ร้องไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเพราะผู้ร้องกับบุตรมิได้ดูแลผู้ตาย
ขอให้ยกคำร้องขอของผู้ร้องและตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายคดีดังกล่าวจึงมีประเด็นว่า
ผู้คัดค้านมีส่วนได้เสียที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลหรือไม่ มีเหตุที่จะต้องตั้งผู้จัดการมรดกหรือไม่
ผู้ร้องและผู้คัดค้านต้องห้ามเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่ และสมควรตั้งผู้ร้องหรือผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายเท่านั้น
ไม่มีประเด็นว่าผู้คัดค้านเป็นทายาทผู้ตายและ ก. เป็นบุตรที่แท้จริงของผู้ตายหรือไม่
ตามที่โจทก์ตั้งเป็นประเด็นในคดีนี้ จึงมีประเด็นต่างกัน แม้ในคดีก่อนศาลชั้นต้นจะฟังว่าผู้คัดค้านเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้ตายเป็นทายาทลำดับที่
๓ ไม่มีสิทธิในทรัพย์มรดกของผู้ตาย ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นประเด็นที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้วในคดีก่อนและผูกพันโจทก์ที่
๒ และจำเลยซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวตาม ป.วิ.พ.มาตรา ๑๔๕ วรรคหนึ่ง แต่อย่างใด
จึงไม่อาจนำผลของคำวินิจฉัยดังกล่าวมาผูกพันโจทก์ทั้งสองในคดีนี้ได้ และถือไม่ได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ยุติแล้วว่า
ก. เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นไม่พิจารณาสั่งคำร้องของโจทก์ทั้งสองที่ขอท้าตรวจพันธุกรรมและคำร้องของจำเลยที่ขออนุญาตยื่นคำให้การ
และงดสืบพยาน แล้วมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนมานั้น จึงไม่ชอบ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์และฎีกาคัดค้านกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่มีคำสั่งงดสืบพยานโดยมีคำขอเพียงให้ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกามีคำพิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นสืบพยานแล้วมีคำพิพากษาใหม่
มิได้มีคำขอให้โจทก์ทั้งสองชนะคดีตามฟ้อ งจึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้
ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และฎีกาเพียงชั้นละ ๒๐๐ บาท ตามตาราง ๑ ค่าฤชาธรรมเนียม
(๒) ท้าย ป.วิ.พ. จึงให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินมาแก่โจทก์ทั้งสองปัญหาข้อนี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา
แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยตาม
ป.วิ.พ.มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบมาตรา ๒๔๖ และ ๒๔๗ (เดิม)
ตามฎีกานี้
ในคดีร้องขอจัดการมรดก(คดีก่อน) มีประเด็นว่า
๑.ผู้คัดค้านมีส่วนได้เสียที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลหรือไม่
๒.มีเหตุที่จะต้องตั้งผู้จัดการมรดกหรือไม่
๓.ผู้ร้องและผู้คัดค้านต้องห้ามเป็นผู้จัดการมรดกหรือไม่ และ
๔.สมควรตั้งผู้ร้องหรือผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
คดีนี้ โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กลับคืนสู่กองมรดกของผู้ตาย
ในวันนัดพิจารณา โจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องว่า ก.
ไม่ใช่บุตรที่แท้จริงของจำเลยกับผู้ตาย ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้มีการตรวจพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอ
เพื่อพิสูจน์ความเป็นบุตรที่แท้จริง โดยให้ถือเอาผลตรวจดังกล่าวเป็นผลแพ้ชนะในคดี
ศาลชั้นต้นสอบถามคู่ความแล้วได้ขอเท็จจริงเพียงพอที่วินิจฉัยคดีได้
จึงมีคำสั่งยกคำร้องขอให้ตรวจสารพันธุกรรมของโจทก์ทั้งสองและคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลย
งดสืบพยานแล้วพิพากษายกฟ้อง
ศาลฎีกาพิพากษา
...ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคำร้องของโจทก์ทั้งสองและของจำเลยแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานต่อไป
แล้วมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี...
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๑๔๕ ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการอุทธรณ์ฎีกา
และการพิจารณาใหม่ คำพิพากษาหรือคำสั่งใด ๆ ให้ถือว่าผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่ง
นับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่ง จนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ได้ถูกเปลี่ยนแปลง
แก้ไข กลับหรืองดเสีย ถ้าหากมี
ถึงแม้ศาลจะได้กล่าวไว้โดยทั่วไปว่าให้ใช้คำพิพากษาบังคับแก่บุคคลภายนอกซึ่งมิได้เป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลด้วยก็ดี
คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นย่อมไม่ผูกพันบุคคลภายนอก เว้นแต่ที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๔๒
(๑) มาตรา ๒๔๕ และมาตรา ๓๖๖ และในข้อต่อไปนี้
(๑) คำพิพากษาเกี่ยวด้วยฐานะหรือความสามารถของบุคคล หรือคำพิพากษาสั่งให้เลิกนิติบุคคล
หรือคำสั่งเรื่องล้มละลายเหล่านี้ บุคคลภายนอกจะยกขึ้นอ้างอิงหรือจะใช้ยันแก่บุคคลภายนอกก็ได้
(๒) คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด ๆ เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้
เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า
อ่านเพิ่มเติม
0 Comments
แสดงความคิดเห็น