โจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินกับการรถไฟแห่งประเทศไทยเพื่อจัดสรรผลประโยชน์ก่อสร้างอาคารพาณิชย์
โดยโจทก์มีสิทธินำอาคารพาณิชย์ให้บุคคลภายนอกเช่าช่วงได้ จำเลยทำสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์พิพาทจากโจทก์
ครบกำหนดเวลาเช่าในวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับการรถไฟแห่งประเทศไทย
และระหว่างโจทก์กับจำเลย โจทก์ไม่ได้ต่อสัญญาเช่ากับการรถไฟแห่งประเทศไทย
ขณะเดียวกันจำเลยยังคงอยู่ในอาคารพาณิชย์พิพาท และชำระค่าเช่าให้โจทก์เดือนละ ๖๐๐
บาท ตลอดมา ต่อมาวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๕ โจทก์ต่อสัญญาเช่ากับ
การรถไฟแห่งประเทศไทยมีกำหนด ๑๕ ปี นับแต่วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ถึงวันที่ ๙
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕ ในระหว่างที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า จำเลยทำละเมิดต่อโจทก์ในระหว่างวันที่
๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ จนถึงวันฟ้อง โจทก์ย่อมเป็นผู้มีสิทธิครอบครองอาคารพาณิชย์พิพาทโดยชอบตามบันทึกต่อท้ายสัญญาเช่า
การที่จำเลยและจำเลยร่วมยังคงอยู่ในอาคารพาณิชย์
หลังจากโจทก์ต่อสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์พิพาทกับการรถไฟแห่งประเทศไทย และชำระค่าเช่าให้โจทก์ตลอดมา
เป็นกรณีที่เมื่อสิ้นกำหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้น จำเลยผู้เช่ายังคงครองอาคารพาณิชย์พิพาทอันเป็นทรัพย์สินที่เช่าอยู่
และโจทก์ผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้ ถือว่าโจทก์และจำเลยเป็นอันได้ทำสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกำหนดเวลาตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๕๗๐ เมื่อโจทก์ไม่ยอมรับค่าเช่าและบอกกล่าวเลิกสัญญาแก่จำเลยเมื่อวันที่
๒๔ กันยายน ๒๕๕๕ โดยให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกมา
อาคารพาณิชย์พิพาทภายในระยะเวลา ๓๐ วัน ย่อมเป็นการบอกเลิกสัญญาเช่าแก่จำเลยให้รู้ตัวก่อนชั่วกำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อย
ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๕๖๖ ถือว่าโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าโดยชอบแล้ว การที่จำเลยและจำเลยร่วมยังคงอาศัยอยู่ในอาคารพาณิชย์พิพาทตั้งแต่วันที่
๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ จนถึงวันฟ้อง ย่อมเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและจำเลยร่วมได้โดยชอบ
ตามฎีกานี้ จำเลย และจำเลยร่วมฎีกาว่า การที่โจทก์ฟ้องเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
เนื่องจาก เมื่อครบกำหนดสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์พิพาทในวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
โจทก์มิได้เป็นผู้เช่าอาคารพาณิชย์พิพาทกับการรถไฟแห่งประเทศไทย
และกรณีพิพาทยังอยู่ในระหว่างการเจรจาตกลงเรื่องอัตราค่าเช่ากับค่าตอบแทนของผู้ที่เกี่ยวข้องกันหลายฝ่าย
แต่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้องว่า การที่จำเลยครอบครองอาคารพาณิชย์พิพาทหลังจากครบกำหนดสัญญาเช่าในวันที่
๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์
โดยโจทก์ขอคิดค่าเสียหายอันเกิดจากมูลละเมิดนับแต่ วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๕
จนถึงวันฟ้อง เป็นเวลา ๒๓ เดือน
ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากที่โจทก์ต่อสัญญาเช่าอาคารพาณิชย์พิพาทกับการรถไฟแห่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๕๕ มีกำหนด ๑๕ ปี นับแต่วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
ถึงวันที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๔ ตามบันทึกต่อท้ายสัญญาเช่า
เพิ่มเติม
การเช่าไม่มีกำหนดระยะเวลา คือ
สัญญาเช่าที่มิได้กำหนดระยะเวลาการเช่าไว้เป็นวัน เดือน ปี หรืออย่างอื่น
หรือมิได้กำหนดระยะเวลาเช่าตลอดอายุของผู้เช่า หรือผู้ให้เช่า
การเกิดสัญญาเช่าไม่มีกำหนดระยะเวลา
อาจเกิดได้ ๔ ลักษณะ ดังต่อไปนี้
๑.คู่สัญญามิได้กำหนดระยะเวลาการเช่าไว้ตั้งแต่ขณะทำสัญญาเช่า
๒.สัญญาเช่าเดิมตามกำหนดระยะเวลาได้สิ้นสุดลงแล้ว
แต่ผู้เช่ายังคงครอบครองทรัพย์สินอยู่ต่อไป และผู้ให้เช่าทราบแต่มิได้ทักท้วง(มาตรา
๕๗๐)
๓.สัญญาเช่าที่ตกลงทำกันเป็นหนังสือในวันเดียวกันหลายฉบับ(หรือฉบับเดียวกันแต่แบ่งระยะเวลาเช่าเป็นระยะ๐
รวมแล้วเกิน ๓ ปี) มีกำหนดระยะเวลาการเช่าไม่เกิน ๓ ปี
เพื่อหลีกเลี่ยงการจดทะเบียนการเช่า สัญญาเช่ามีผลใช้บังคับได้เพียง ๓ ปี เมื่อครบกำหนดเวลา
๓ ปีแล้ว หากผู้เช่ายังคงครอบครองทรัพย์สินที่เช่าอยู่ต่อไป
สัญญาเช่าดังกล่าวเป็นสัญญาเช่าที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา
๔.สัญญาเช่าที่ทำกันมีกำหนดระยะเวลาการเช่าเกิน
๓ ปี ฉบับเดียวแต่มิได้จดทะเบียนการเช่าต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
คงมีแต่หลักฐานเป็นหนังสือหรือทำเป็นหนังสือสัญญาเช่า มีผลบังคับได้เพียง ๓ ปี
เมื่อพ้นจากกำหนดระยะเวลา ๓ ปีแล้ว ผู้เช่ายังคงครอบครองทรัพย์สินที่เช่าอยู่ต่อไปเป็นสัญญาเช่าไม่มีกำหนดระยะเวลา
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๕๖๖ ถ้ากำหนดเวลาเช่าไม่ปรากฏในความที่ตกลงกันหรือไม่พึงสันนิษฐานได้ไซร้
ท่านว่าคู่สัญญาฝ่ายใดจะบอกเลิกสัญญาเช่าในขณะเมื่อสุดระยะเวลาอันเป็นกำหนดชำระค่าเช่าก็ได้ทุกระยะ
แต่ต้องบอกกล่าวแก่อีกฝ่ายหนึ่งให้รู้ตัวก่อนชั่วกำหนดเวลาชำระค่าเช่าระยะหนึ่งเป็นอย่างน้อยแต่ไม่จำต้องบอกกล่าวล่วงหน้ากว่าสองเดือน
มาตรา ๕๗๐ ในเมื่อสิ้นกำหนดเวลาเช่าซึ่งได้ตกลงกันไว้นั้นถ้าผู้เช่ายังคงครองทรัพย์สินอยู่
และผู้ให้เช่ารู้ความนั้นแล้วไม่ทักท้วงไซร้ ท่านให้ถือว่าคู่สัญญาเป็นอันได้ทำสัญญาใหม่ต่อไปไม่มีกำหนดเวลา
อ้างอิง
ไผทชิต เอกจริยกร. คำอธิบาย
เช่าทรัพย์-เช่าซื้อ. พิมพ์ครั้งที่ 20. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ วิญญูชน, 2560.
คำพิพากษาศาลฎีกา
พุทธศักราช 2561 เล่มที่ 5
0 Comments
แสดงความคิดเห็น