ศาลชั้นต้นเป็นศาลแขวงซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีแพ่งที่มีราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ไม่เกินสามแสนบาทตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
มาตรา ๑๗ ประกอบมาตรา ๒๕ (๔) โดยต้องถือตามจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์ที่ ๒ ที่ ๔ และที่
๕ ขอให้บังคับเอาจากจำเลยทั้งสองในวันที่ยื่นฟ้อง เมื่อโจทก์ที่ ๒ ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองในมูลละเมิดตามคำฟ้องเป็นเงิน
จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท
พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ที่ ๔ ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองในมูลละเมิดตามคำฟ้องเป็นเงิน จำนวน
๒๙๕,๗๐๗.๓๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
นับแต่วันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๗ เป็นต้นจนกว่าจะชำระเสร็จ และโจทก์ที่ ๕
ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองในมูลละเมิดตามคำฟ้องเป็นเงิน จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๓๑ ตุลาคม
๒๕๕๗ เป็นต้นจนกว่าจะชำระเสร็จ จึงต้องนำดอกเบี้ย ซึ่งคิดคำนวณนับแต่วันที่ ๓๑
ตุลาคม ๒๕๕๗ จนถึงวันฟ้องคือวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๘ มารวมเป็นจำนวนเงินที่ฟ้องด้วย
คดีในส่วนของโจทก์ที่ ๒ ที่ ๔ และที่ ๕ ย่อมเป็นคดีมีทุนทรัพย์เกินกว่าสามแสนบาท
ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงย่อมไม่มีอำนาจรับคดีในส่วนของโจทก์ที่ ๒ ที่ ๔ และที่ ๕
ไว้พิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา ๑๗ ประกอบมาตรา ๒๕ (๕) ศาลชั้นต้นต้องสั่งไม่รับฟ้องคดีในส่วนของโจทก์ที่
๒ 4 และที่ ๕
การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีในส่วนของโจทก์ที่ ๒ ที่ 2 และที่ ๕ เป็นการไม่ชอบ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ที่ ๒ ที่ ๔ และที่ ๕
นี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยื่นอุทธรณ์ขึ้นมา
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕)
ตามฎีกานี้ ศาลอุทธรณ์ภาค ๒
พิพากษาให้ยกฟ้องและยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเฉพาะในส่วนของโจทก์ที่ ๒ ที่ ๔ และที่ ๕
ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่ ๒ ที่ ๔ และที่ ๕
ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ต่อศาลที่มีเขตอำนาจภายในอายุความ
คืนค่าขึ้นศาลทั้งสามศาลในส่วนของโจทก์ที่ ๒ ที่ ๔ และที่ ๕ ให้แก่โจทก์ที่ ๒ ที่
๔ และที่ ๕ และจำเลยทั้งสอง...
กรณีนี้ไม่อาจปรับเข้าด้วยมาตรา
๑๙/๑ ได้
พระธรรมนูญศาลยุติธรรม
มาตรา ๑๗
ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี และมีอำนาจทำการไต่สวน หรือมีคำสั่งใด ๆ
ซึ่งผู้พิพากษาคนเดียวมีอำนาจตามที่กำหนดไว้ในมาตรา ๒๔ และมาตรา ๒๕ วรรคหนึ่ง
มาตรา ๑๙/๑
บรรดาคดีซึ่งเกิดขึ้นในเขตศาลแขวงและอยู่ในอำนาจของศาลแขวงนั้น ถ้ายื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งตลิ่งชัน ศาลแพ่งธนบุรี ศาลแพ่งพระโขนง ศาลแพ่งมีนบุรี
ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาล อาญาธนบุรี ศาลอาญาพระโขนง
ศาลอาญามีนบุรี หรือศาลจังหวัด
ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลดังกล่าวที่จะยอมรับพิจารณาคดีใดคดีหนึ่งที่ยื่นฟ้องเช่นนั้นหรือมีคำสั่งโอนคดีไปยังศาลแขวงที่มีเขตอำนาจก็ได้
และไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด หากศาลแพ่ง ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาล แห่งตลิ่งชัน
ศาลแพ่งธนบุรี ศาลแพ่งพระโขนง ศาลแพ่งมีนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้
ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลอาญาธนบุรี ศาลอาญาพระโขนง ศาลอาญามีนบุรี หรือศาลจังหวัด
ได้มีคำสั่งรับฟ้องคดีเช่นว่านั้นไว้แล้ว
ให้ศาลดังกล่าวพิจารณาพิพากษาคดีนั้นต่อไป
ในกรณีที่ขณะยื่นฟ้องคดีนั้นเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลแพ่ง
ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ ศาลแพ่งตลิ่งชัน ศาลแพ่งธนบุรี ศาลแพ่งพระโขนง ศาลแพ่งมีนบุรี
ศาลอาญา ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลอาญาตลิ่งชัน ศาลอาญาธนบุรี ศาลอาญาพระโขนง
ศาลอาญามีนบุรี หรือศาลจังหวัดอยู่แล้ว
แม้ต่อมาจะมีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงไปทำให้คดีนั้นเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลแขวง
ก็ให้ศาลดังกล่าวพิจารณาพิพากษาคดีนั้นต่อไป
มาตรา ๒๕ ในศาลชั้นต้น
ผู้พิพากษาคนเดียวเป็นองค์คณะมีอำนาจเกี่ยวแก่คดีซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลนั้น ดังต่อไปนี้
(๑)
ไต่สวนและวินิจฉัยชี้ขาดคำร้องหรือคำขอที่ยื่นต่อศาลในคดีทั้งปวง กา
(๒)
ไต่สวนและมีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการเพื่อความปลอดภัย
(๓)
ไต่สวนมูลฟ้องและมีคำสั่งในคดีอาญา
(๔)
พิจารณาพิพากษาคดีแพ่ง ซึ่งราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินที่ฟ้องไม่เกิน
สามแสนบาท
ราคาทรัพย์สินที่พิพาทหรือจำนวนเงินดังกล่าวอาจขยายได้โดยการตราเป็นพระราช กฤษฎีกา
(๕)
พิจารณาพิพากษาคดีอาญา ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างสูงไว้ให้จำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่จะลงโทษจำคุกเกินหกเดือน
หรือปรับเกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ซึ่งโทษจำคุกหรือปรับอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างเกินอัตราที่กล่าวแล้วไม่ได้
ผู้พิพากษาประจำศาลไม่มีอำนาจตาม
(๓) (๔) หรือ (๕)
อ้างอิง
หนังสือคำพิพากษาศาลฎีกา พุทธศักราช ๒๕๖๑ เล่มที่ ๕
0 Comments
แสดงความคิดเห็น