คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๑๑๒/๒๕๖๐
จำเลยทั้งสองและ ส. ไม่ได้ตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของ ห. ตามพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองโดยต่างเข้าครอบครองเป็นส่วนสัด และก่อนที่ ส. จะเป็นคนสาบสูญก็ได้ร่วมทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทด้วย จึงถือได้ว่า ส. ครอบครองทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งปัน ส. มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้ แม้จะล่วงพ้นกำหนดอายุความ ทั้งนี้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๗๔๘ วรรคหนึ่ง นอกจากนี้จำเลยที่ ๒ ได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ ห. ตามพินัยกรรม และได้มีการโอนที่ดินตามพินัยกรรม ๓ แปลงให้ ส. ก่อนที่จะเป็นคนสาบสูญ แม้ต่อมา ส. จะถูกคนร้ายจับตัวไปก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งเป็นคนสาบสูญ ก็ต้องถือว่า ส. ครอบครองที่ดินพิพาท โดยจำเลยทั้งสองครอบครองแทน และหลังจากที่ ส. เป็นคนสาบสูญแล้ว จำเลยที่ ๒ ก็ยังจดทะเบียนให้ ส. มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมกับจำเลยทั้งสองยิ่งเป็นข้อสนับสนุนว่า ส.ได้ครอบครองทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทที่ยังไม่แบ่งปันกัน เมื่อ ส. เป็นคนสาบสูญสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอันเป็นมรดกตามพินัยกรรมที่ยังไม่ได้แบ่งนั้นย่อมเป็นกองมรดกของ ส. ตกทอด แก่ทายาทโดยธรรมของ ส. ซึ่งมีโจทก์รวมอยู่ด้วย โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ ส. ซึ่งถือเป็นผู้แทนของทายาทของ ส. ย่อมได้รับประโยชน์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๗๔๘ วรรคหนึ่ง คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
จำเลยทั้งสองและ ส. ไม่ได้ตกลงแบ่งปันทรัพย์มรดกของ ห. ตามพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองโดยต่างเข้าครอบครองเป็นส่วนสัด และก่อนที่ ส. จะเป็นคนสาบสูญก็ได้ร่วมทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทด้วย จึงถือได้ว่า ส. ครอบครองทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งปัน ส. มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้ แม้จะล่วงพ้นกำหนดอายุความ ทั้งนี้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๗๔๘ วรรคหนึ่ง นอกจากนี้จำเลยที่ ๒ ได้ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ ห. ตามพินัยกรรม และได้มีการโอนที่ดินตามพินัยกรรม ๓ แปลงให้ ส. ก่อนที่จะเป็นคนสาบสูญ แม้ต่อมา ส. จะถูกคนร้ายจับตัวไปก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งเป็นคนสาบสูญ ก็ต้องถือว่า ส. ครอบครองที่ดินพิพาท โดยจำเลยทั้งสองครอบครองแทน และหลังจากที่ ส. เป็นคนสาบสูญแล้ว จำเลยที่ ๒ ก็ยังจดทะเบียนให้ ส. มีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมกับจำเลยทั้งสองยิ่งเป็นข้อสนับสนุนว่า ส.ได้ครอบครองทรัพย์มรดกที่ดินพิพาทที่ยังไม่แบ่งปันกัน เมื่อ ส. เป็นคนสาบสูญสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทอันเป็นมรดกตามพินัยกรรมที่ยังไม่ได้แบ่งนั้นย่อมเป็นกองมรดกของ ส. ตกทอด แก่ทายาทโดยธรรมของ ส. ซึ่งมีโจทก์รวมอยู่ด้วย โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ ส. ซึ่งถือเป็นผู้แทนของทายาทของ ส. ย่อมได้รับประโยชน์ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๗๔๘ วรรคหนึ่ง คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ
จำ เลยที่ ๒ ในฐานะผู้จัดการมรดกได้จัดการจดทะเบียนให้จำ เลยทั้งสอง และ ส.
ถือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทแล้ว ที่ดินพิพาทจึงสิ้นความเป็นมรดก
และตกเป็นกรรมสิทธิ์รวมของจำ เลยทั้งสองและ
ส. ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๔ ทรัพย์สิน หมวด ๓ กรรมสิทธิ์รวม
ซึ่งเจ้าของรวมมีสิทธิเรียกให้แบ่งทรัพย์สินได้ตามมาตรา ๑๓๖๓ วรรคหนึ่ง เมื่อ ส.
เป็นคนสาบสูญ ถือว่าถึงแก่ความตายตามความในมาตรา ๖๒ แห่ง ป.พ.พ. มรดกของ ส.
คือกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทย่อมตกแก่ทายาทของ ส. ที่มีโจทก์รวมอยู่ด้วย ทั้งนี้
ตามมาตรา ๑๖๐๒ วรรคหนึ่ง โจทก์เป็นทั้งทายาทและผู้จัดการมรดกของ ส. ตามคำ สั่งศาล จึงเป็นผู้แทนของทายาทมีสิทธิและหน้าที่อันจำ เป็นเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไปหรือเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกตามมาตรา
๑๗๑๙ รวมทั้งมีอำ นาจฟ้องคดีตามมาตรา
๑๗๓๖ เมื่อจำ เลยทั้งสองไม่ยอมส่งมอบโฉนดและไม่ยอมแบ่งกรรมสิทธิ์รวม
โจทก์ย่อมมีอำ นาจฟ้อง
ห. ทำ พินัยกรรมยกที่ดินพิพาทให้แก่จำ เลยทั้งสองและ ส. จึงเป็นผู้รับพินัยกรรมลักษณะเฉพาะมีสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทนั้น
ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๖๕๑ (๒) ปรากฏว่าขณะที่ ห. ถึงแก่ความตาย ที่ดินพิพาทจำ นองไว้แก่กรมตำ รวจอยู่ จำ เลยทั้งสองและ
ส. ซึ่งเป็นผู้รับพินัยกรรมลักษณะเฉพาะต้องรับภาระผูกพัน คือจำ นองที่ติดอยู่กับที่ดินพิพาทร่วมกันตามบทกฎหมายข้างต้นโดยรับภาระจำ นองคนละ ๑ ใน ๓ ทั้งนี้ ตาม ป.พ.พ. ตรา
๑๓๖๒ และ ๑๓๖๕ ประกอบมาตรา ๑๗๔๕ เมื่อจำ เลยที่
๒ เป็นผู้ไถ่ถอนจำนอง ส. ต้องรับผิดในหนี้ส่วนของตนที่ต้องชำ ระให้แก่จำ เลยที่ ๒ แต่เมื่อ ส. เป็นคนสาบสูญ
หนี้ส่วนนี้อันถือว่าเป็นกองมรดกของ ส. จึงตกแก่ทายาทของ ส. ตามมาตรา ๑๖๐๒
วรรคหนึ่ง โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ ส. จึงต้องชำ ระเงินค่าไถ่ถอนจำ นอง
๑ ใน ๓ ส่วน ให้แก่จำ เลยที่ ๒
ผู้รับช่วงสิทธิในมูลหนี้จำ นองที่ได้ชำ ระไปแล้ว ตามมาตรา ๒๒๖ ประกอบมาตรา ๒๒๙
(๓) ก่อน ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของ ประชาชน
ศาลฎีกามีอำ นาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย
ทั้งนี้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๒ (๕) ประกอบมาตรา ๒๔๖ และ ๒๔๗
เพิ่มเติม
ตามบทบัญญัติมาตรา ๑๗๔๘ วรรคหนึ่ง หมายถึงทายาทนั้นได้ครอบครองทรัพย์มรดกประการหนึ่ง
และทรัพย์มรดกที่ครอบครองนั้นยังมิได้แบ่งปันกันระหว่างทายาทอีกประการหนึ่ง
ซึ่งหากขาดหลักเกณฑ์ ประการใดประการหนึ่งแล้วก็ไม่อาจจะอ้างบทบัญญัติมาตรา ๑๗๔๘
วรรคหนึ่ง มาบังคับได้
ผู้รับพินัยกรรมลักษณะเฉพาะตามมาตรา
๑๖๕๑(๑) หมายถึง บุคคลที่เจ้ามรดกทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินเฉพาะสิ่งเฉพาะอย่างซึ่งเจาะจงไว้โดยเฉพาะ
ฎีกาที่ ๑๖/๒๔๙๑ ผู้ตายทำ พินัยกรรมยกห้องแถว ๒ ห้องให้แก่ โจทก์
ปรากฏว่าขณะถึงแก่ความตายห้องแถวนั้นติดจำ นอง ศาลพิพากษาให้ทายาทหรือ ผู้จัดการมรดกไถ่ถอนจำ นอง จำ เลยเป็นผู้จัดการมรดกได้ไถ่ถอนจำ นองคิดเป็นเงิน ๒,๒๗๕
บาท ย่อมถือว่าโจทก์เป็นผู้รับพินัยกรรมลักษณะเฉพาะตามมาตรา ๑๖๕๑ (๒) ต้องรับภาระผูกพันคือจำ นองที่ติดอยู่กับห้องแถวด้วย จึงฟ้องจำเลยขอให้โอนตึกแถวโดยไม่ยอมชำระเงินไถ่ถอนจำ นองไม่ได้
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๖๕๑ ภายใต้บังคับบทบัญญัติลักษณะ ๔
(๑)
เมื่อตามข้อกำหนดพินัยกรรม บุคคลใดมีสิทธิที่จะได้รับทรัพย์มรดกทั้งหมดของเจ้ามรดก
หรือตามเศษส่วน หรือตามส่วนที่เหลือแห่งทรัพย์มรดก
ซึ่งมิได้แยกไว้ต่างหากเป็นพิเศษจากกองมรดก
บุคคลนั้นเรียกว่าผู้รับพินัยกรรมลักษณะทั่วไป และมีสิทธิและความรับผิดเช่นเดียวกับทายาทโดยธรรม
(๒)
เมื่อตามข้อกำหนดพินัยกรรม บุคคลใดมีสิทธิที่จะได้รับทรัพย์สินเฉพาะสิ่งเฉพาะอย่าง
ซึ่งเจาะจงไว้โดยเฉพาะ หรือแยกไว้ต่างหากเป็นพิเศษจากกองมรดก บุคคลนั้นเรียกว่า
ผู้รับพินัยกรรมลักษณะเฉพาะ และมีสิทธิและความรับผิดที่เกี่ยวกับทรัพย์สินเท่านั้น
ในกรณีที่มีข้อสงสัย
ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ผู้รับพินัยกรรมเป็นผู้รับพินัยกรรมลักษณะเฉพาะ
อ้างอิง
กีรติ
กาญจนรินทร์. คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๖ มรดก. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์กรุงสยามพับลิชชิ่ง, ๒๕๖๐.
0 Comments
แสดงความคิดเห็น