โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ภาษีอากรค้างและเรียกให้ จำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๗ ซึ่งชำระค่าหุ้นที่ตนยังส่งใช้ไม่ครบแก่จำเลยที่ ๑ เพื่อโจทก์นำมาชำระหนี้ค่าภาษีอากรค้าง มูลหนี้ที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องจากจำเลยที่ ๖ จะระงับสิ้นไปต่อเมื่อจำเลยที่ ๖ ส่งใช้ค่าหุ้นตามฟ้องครบถ้วนแล้ว การที่จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกหนี้ภาษีอากรค้างต้องผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอม ก็หาเป็นผลให้สิทธิเรียกร้องที่จำเลยที่ ๑ มีต่อจำเลยที่ ๖ ระงับไป โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๑ สามารถใช้สิทธิเรียกร้องของจำเลยที่ ๑ ต่อจำเลยที่ ๖ ตาม ป.พ.พ.มาตรา ๒๓๓ และมาตรา ๒๓๕ ได้

               ตามฎีกานี้ จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ถึงที่ ๔ และที่ ๗ ขาดนัดยื่นคำให้การ แต่ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ และยอมชำระภาษีอากรตามฟ้อง เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
               จำเลยที่ ๕ ขาดนัดยื่นคำให้การ
               จำเลยที่ ๖ ให้การว่าจำเลยที่ ๒ กรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ ๑ นายจ้างของจำเลยที่ ๖ หักเงินรายได้ของจำเลยที่ ๖ จ่ายชำระเป็นเงินค่าหุ้นที่จำเลยที่ ๑ โอนให้แก่จำเลยที่ ๖ จำนวน ๗๐๐ หุ้น เต็มมูลค่าหุ้น จำนวนหุ้นละ ๑๐๐ บาท เป็นเงิน ๗๐,๐๐๐ บาท ตั้งแต่ เดือนธันวาคม ๒๕๕๔ แล้ว จำเลยที่ ๖ จึงไม่มีหน้าที่จะต้องส่งเงิน ค่าหุ้นชำระหนี้แทนจำเลยที่ ๑ ให้แก่โจทก์ตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
              
เพิ่มเติม
               การใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ ตามมาตรา ๒๓๓ มีหลักเกณฑ์ ดังนี้
               ๑. ต้องมีหนี้ ๒ หนี้ หนี้ที่ ๑ เป็นหนี้ระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้ หนี้ที่ ๑ มีอำนาจสำคัญมากเพราะเป็นหนี้ที่ก่อให้เกิดอำนาจในการใช้สิทธิเรียกร้อง หนี้ที่ ๒ เป็นหนี้ที่เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้ในหนี้ที่ ๒ ที่ลูกหนี้มีกับบุคคลภายนอกไปบังคับเอากับบุคคลภายนอก
               ๒.หนี้ที่ ๒ จะต้องไม่เป็นหนี้ที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้
               ๓.ลูกหนี้ขัดขืนหรือเพิกเฉยไม่ใช้สิทธิเรียกร้องตามที่ตนมีอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ของหนี้ที่ ๒ ซึ่งคำว่าขัดขืนหรือเพิกเฉย คงต้องหมายความถึงการไม่ยื่นฟ้องต่อศาล
               ๔.เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ การขัดขืนหรือเพิกเฉยไม่ใช่สิทธิเรียกร้องเช่นนั้นจะต้องทำให้เจ้าหนี้เสียประโยชน์ด้วย ซึ่งหมายความว่า ทรัพย์สินของลูกหนี้ที่มีอยู่โดยไม่ต้องใช้สิทธิเรียกร้องนั้นไม่พอชำระหนี้(ฎีกาที่ ๕๔๐๐/๒๕๓๖)
               ๕.การใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้จะต้องดำเนินการทางศาลโดยการยื่นฟ้องบุคคลภายนอกต่อศาล และเจ้าหนี้สามารถยื่นฟ้องได้ในนามของตนเองแทนลูกหนี้โดยไม่ต้องได้รับการมอบอำนาจจากลูกหนี้

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
               มาตรา ๒๓๓ ถ้าลูกหนี้ขัดขืนไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้องหรือเพิกเฉยเสียไม่ใช้สิทธิเรียกร้อง เป็นเหตุให้เจ้าหนี้ต้องเสียประโยชน์ไซร้ ท่านว่าเจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องนั้นในนามของตนเองแทนลูกหนี้เพื่อป้องกันสิทธิของตนในมูลหนี้นั้นก็ได้ เว้นแต่ในข้อที่เป็นการของลูกหนี้ส่วนตัวโดยแท้
               มาตรา ๒๓๔ เจ้าหนี้ผู้ใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้นั้นจะต้องขอหมายเรียกลูกหนี้มาในคดีนั้นด้วย
               มาตรา ๒๓๕ เจ้าหนี้จะใช้สิทธิเรียกร้องของลูกหนี้เรียกเงินเต็มจำนวนที่ยังค้างชำระแก่ลูกหนี้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงจำนวนที่ค้างชำระแก่ตนก็ได้ ถ้าจำเลยยอมใช้เงินเพียงเท่าจำนวนที่ลูกหนี้เดิมค้างชำระแก่เจ้าหนี้นั้น คดีก็เป็นเสร็จกันไป แต่ถ้าลูกหนี้เดิมได้เข้าชื่อเป็นโจทก์ด้วย ลูกหนี้เดิมจะขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาต่อไปในส่วนจำนวนเงินที่ยังเหลือติดค้างอยู่ก็ได้
               แต่อย่างไรก็ดี ท่านมิให้เจ้าหนี้ได้รับมากไปกว่าจำนวนที่ค้างชำระแก่ตนนั้นเลย

อ้างอิง
ไพโรจน์ วายุภาพ. คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยหนี้. พิมพ์ครั้งที่ 12. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์บริษัท กรุงสยาม พับลิชชิ่ง จำกัด, 2561.