จำเลยซึ่งเป็นคนรักเก่าของ ส.
มาในที่เกิดเหตุเนื่องจากผู้ตายทะเลาะทำร้าย ส. และสั่งให้ ส. โทรศัพท์เรียกจำเลยมาในที่เกิดเหตุ
ขณะเกิดเหตุจำเลยเข้าไประงับเหตุระหว่างผู้ตายกับ ส. โดยจำเลยถามผู้ตายว่า “ทำไม ทำกับผู้หญิงอย่างนี้” เมื่อจำเลยพูดจบ ผู้ตายเป็นฝ่ายชกที่ใบหน้าจำเลย ๑ ครั้ง
จากนั้นทั้งสองชุลมุนชกต่อยกัน ผู้ตายเป็นฝ่ายพกอาวุธมีดมา แม้เหตุการณ์ในช่วงนี้
อาจถือได้ว่ามีภยันตรายที่จำเลยจำต้องป้องกัน แต่ปรากฏว่าต่อมาจำเลยแย่งอาวุธมีดดังกล่าวได้แล้วแทงผู้ตาย
โดยเหตุการณ์ในช่วงต่อมานี้จำเลยกับผู้ตายชุลมุนต่อสู้กัน ประมาณ ๑๐ นาที ผู้ตายพูดว่า “พอแล้ว ไม่ไหวแล้ว” แสดงว่าผู้ตายไม่อยู่ในวิสัยที่จะต่อสู้ทำร้ายจำเลยได้อีกต่อไป
ภยันตรายที่จำเลยจำต้องป้องกันได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่จำเลยกับพวกยังตามทำร้ายซ้ำอีกแล้วจำเลยได้ถีบผู้ตายตกลงไปในคลอง
จากนั้นจำเลยกับพวกกลับไปที่รถจักรยานยนต์แล้วขับกลับมายังจุดที่ผู้ตายตกลงไปในคลอง
และจำเลยตะโกนขึ้นว่า
“ลงไปดูซิ มันตายหรือยัง” แต่เพื่อนของจำเลยบอกว่า “ไปเลยไปเลย” จำเลยกับพวกจึงขับรถจักรยานยนต์ออกไปจากที่เกิดเหตุ
การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกัน
แต่พฤติการณ์ที่จำเลยซึ่งเป็นคนรักเก่าของ ส. และถูกเรียกให้ไปในที่เกิดเหตุ
กับพยายามระงับเหตุทะเลาะระหว่างผู้ตายซึ่งเป็นคนรักใหม่กับ ส.
แต่ผู้ตายเป็นฝ่ายชกและพยายามจะใช้อาวุธมีดแทงทำร้ายจำเลยก่อน จึงถือได้ว่าจำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
การที่จำเลยแทงผู้ตายจนถึงแก่ความตายจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ
ตามฎีกานี้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๘๓, ๙๑,
๒๘๘(ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา), ๓๗๑ จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๐(ทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย)
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๓
ประกอบมาตรา ๗๒ (ฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ) จำเลยฎีกา
ซึ่งคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่
เพิ่มเติม
การกระทำโดยบันดาลโทสะตาม
ป.อ.มาตรา ๗๒ เป็นการกระทำที่ผู้กระทำความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมจึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น
ส่วนการป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๖๘
หรือการป้องกันสิทธิเกินสมควรแก่เหตุตามมาตรา ๖๙ นั้น เป็นกรณีที่ผู้กระทำจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
และมีภยันตรายที่ใกล้จะถึง การกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งจึงไม่อาจเป็นทั้งการกระทำโดยบันดาลโทสะและป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นการป้องกันสิทธิเกินสมควรแก่เหตุในขณะเดียวกันได้
เนื่องจากภยันตราย ซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายที่ผู้กระทำจะกระทำเพื่อป้องกันสิทธิได้จะต้องเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงและภยันตรายนั้น
ยังมิได้สิ้นสุดลง หากภยันตรายนั้นผ่านพ้นไปแล้วผู้กระทำก็ไม่อาจอ้างว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิได้
อย่างไรก็ดีภยันตรายดังกล่าวแม้จะ ผ่านพ้นไปแล้ว
แต่ก็อาจเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมได้อย่างหนึ่ง
หากผู้ถูกข่มเหงได้กระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น คือ ในระยะเวลาต่อเนื่องที่ตนยังมีโทสะอยู่
ย่อมถือว่าเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ(ฎีกาที่ ๔๘๙๕/๒๕๖๑)
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๖๘ ผู้ใดต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย
และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
ผู้นั้นไม่มีความผิด
มาตรา ๗๒
ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น
ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
0 Comments
แสดงความคิดเห็น