โจทก์บรรยายฟ้องว่า ปี ๒๕๓๖ อ.
สามีโจทก์นำที่ดินซึ่งเป็นสินสมรสโอนยกให้แก่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓
โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ เป็นกรณีที่โจทก์กล่าวอ้างว่า อ.
จัดการสินสมรสโดยฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๖ และมาตรา ๑๔๘๐
กรณีนี้หากโจทก์ประสงค์จะให้ที่ดินกลับมาเป็นสินสมรสเพื่อโจทก์จะได้มีสิทธิในสินสมรสส่วนของโจทก์
โจทก์ต้องดำเนินการฟ้องเพิกถอนให้ที่ดินนั้นกลับมาเป็นสินสมรสของโจทก์กับ อ. ก่อนโดยฟ้องของโจทก์ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๔๘๐ วรรคหนึ่ง มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์จะฟ้องคดีเพื่อใช้สิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๓๓๖ และโจทก์ต้องใช้สิทธิฟ้องคดีภายในระยะเวลาตามมาตรา ๑๔๘๐ วรรคสอง
และมาตรา ๑๙๓/๙ ตามที่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการให้หรือเรียกทรัพย์คืนเนื่องจากโจทก์ฟ้องคดีเกินกว่า ๑๐ ปี นับแต่วันทำนิติกรรมแล้ว
จำเลยที่ ๔ ขาดนัดยื่นคำให้การ
ถือว่ามีประเด็นแห่งคดีตามสภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องโจทก์ โจทก์มีหน้าที่นำสืบให้ได้ความตามฟ้อง
แต่จำเลยที่ ๔ ยังคงมีสิทธิถามค้านพยานโจทก์เพื่อที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๑๙๙ ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัว
และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๓ มาตรา ๖ เมื่อโจทก์นำสืบไม่สมตามฟ้องว่า
อ. โอนที่ดินที่เป็นสินสมรสให้แก่จำเลยที่ ๔ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์
โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเพิกถอนการโอนที่ดินจากจำเลยที่ ๔
ตามฎีกานี้ ฟ้องของโจทก์ต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๓๓๖ หรือมาตรา ๑๔๘๐
จำเลยทั้งสี่เป็นบุตรของโจทก์ กับ
อ.
เพิ่มเติม
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา
๑๓๓๖ บัญญัติว่า “ภายในบังคับแห่งกฎหมาย
เจ้าของทรัพย์สินมีสิทธิ..ติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตน ” มาตรา ๑๓๕๖ บัญญัติว่า “ถ้าทรัพย์สินเป็นของบุคคลหลายคนรวมกัน
ท่านให้ใช้บทบัญญัติหมวดนี้บังคับ เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น”
จากบทบัญญัติตามมาตรา ๑๓๓๖ และมาตรา ๑๓๕๖ ที่ว่าเจ้าของทรัพย์สินจะใช้สิทธิติดตามเอาคืนได้ต้องอยู่ภายในบังคับกฎหมาย
และกรณีมีเจ้าของทรัพย์สินหลายคนจะใช้บทบัญญัติหมวดเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมบังคับ
เว้นแต่จะมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น หมายความว่า
หากมีกฎหมายอื่นบัญญัติไว้หรือ กฎหมายบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นแล้วต้องบังคับตามบทกฎหมายนั้น
จะนำสิทธิต่างๆ ตามมาตรา ๑๓๓๖ และบทบัญญัติเรื่องกรรมสิทธิ์รวม มาตรา ๑๓๕๖ ถึง
๑๓๖๖ มาใช้บังคับไม่ได้(ฎีกาที่ ๒๕๐๑/๒๕๖๑)
การขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมในการจัดการสินสมรสที่คู่สมรสทำไปโดยลำพังนี้จะต้องฟ้องเป็นคดีโดยเฉพาะเจาะจง
จะร้องเข้ามาในคดีที่ตนมิได้เป็นคู่ความไม่ได้ เช่น สามีฟ้องนายแดงให้ชดใช้ค่าเสียหายที่ขับรถมาชนรถยนต์สินสมรสเป็นเงิน
๒๐๐,๐๐๐ บาท สามีทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาลยอมรับค่าสินไหมทดแทนเพียง ๑๕๐,๐๐๐ บาท โดยไม่ได้รับความยินยอมจากภริยา ภริยาจะยื่นคำร้องในคดีนี้ขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้
ต้องนำคดีไปฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก(ฎีกาที่
๓๗๗๕/๒๕๔๖) เป็นต้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๔๗๖ สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งใน
กรณีดังต่อไปนี้
(๑) ขาย แลกเปลี่ยน
ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์
หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้
(๒) ก่อตั้งหรือกระทำให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจำยอม
สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์
(๓) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี
(๔) ให้กู้ยืมเงิน
(๕) ให้โดยเสน่หา
เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัวเพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือ
ตามหน้าที่ธรรมจรรยา
(๖) ประนีประนอมยอมความ
(๗) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
(๘) นำทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล
การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง
สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้องได้รับความ ยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง
มาตรา ๑๔๘๐ การจัดการสินสมรสซึ่งต้องจัดการร่วมกันหรือต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง
ตามมาตรา ๑๔๗๖ ถ้าคู่สมรสฝ่ายหนึ่งได้ทำนิติกรรมไปแต่เพียงฝ่ายเดียว หรือโดยปราศจากความยินยอมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง
คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งอาจฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมนั้นได้
เว้นแต่คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบันแก่นิติกรรมนั้นแล้ว หรือในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นบุคคลภายนอกได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน
การฟ้องให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมตามวรรคหนึ่งห้ามมิให้ฟ้องเมื่อพ้นหนึ่งปี
นับแต่วันที่ได้รู้เหตุอันเป็น มูลให้เพิกถอน หรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่วันที่ได้ทำนิติกรรมนั้น
อ้างอิง
ประสพสุข
บุญเดช. คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยครอบครัว. พิมพ์ครั้งที่ 22. กรุงเทพฯ: สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา, 2559.
0 Comments
แสดงความคิดเห็น