พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ
พ.ศ.๒๕๐๗ มาตรา ๒๖/๔ กำหนดความรับผิดของผู้ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติ
ให้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในทางแพ่งแก่รัฐ มิใช่โทษในทางอาญา
ส่วนวิธีการเรียกร้องค่าเสียหายมาตรา ๒๖/๕ กำหนดให้อำนาจพนักงานอัยการสามารถเรียกค่าเสียหายตามมาตรา ๒๖/๔ เข้ามาพร้อมกับคำฟ้องคดีอาญาอันมีลักษณะเป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติซึ่งไม่ต้องห้ามมิให้มีผลย้อนหลัง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสามกับพวกกระทำความผิดเมื่อวันที่
๑๙ เมษายน ๒๕๕๙ ก่อนวันที่พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙
ที่ให้เพิ่มมาตรา ๒๖/๔ และมาตรา ๒๖/๕ มี ผลใช้บังคับก็ตาม แต่โจทก์ยื่นคำฟ้องภายหลังวันที่พระราชบัญญัติดังกล่าวมีผลใช้บังคับ การที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยทั้งสามซึ่งถูกฟ้องว่าร่วมกันทำลายทรัพยากรธรรมชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายของทรัพยากรธรรมชาติ
๑๙๐,๐๑๕.๒๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
จนกว่าจำเลยทั้งสามจะชำระเสร็จแก่กรมป่าไม้ไปในคราวเดียวกัน จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาในคดีส่วนแพ่งของศาลล่างทั้งสองมิได้กล่าวหรือแสดงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยทั้งปวงและมิได้วินิจฉัยตามประเด็นแห่งคดี
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔ ๑ (๔) (๕)
ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีส่วนแพ่งไปโดยยังมิได้สอบคำให้การจำเลยในคดีส่วนแพ่ง และโจทก์มิได้นำสืบพยานหลักฐานอันจะให้เป็นฐานในการกำหนดค่าเสียหายตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติฯมาตรา ๒๖/๔ การดำเนินกระบวนพิจารณาและคำพิพากษาคดีส่วนแพ่งของศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบ
ตามฎีกานี้
มีประเด็นสู่ศาลฎีกาว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒
ต้องร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่กรมป่าไม้หรือไม่ ซึ่งโจทก์ฎีกาโดยสรุปว่า
ค่าเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตามมาตรา ๒๖/๔ และมาตรา ๒๖/๕
นั้น กฎหมายดังกล่าวไม่ใช่การลงโทษในทางอาญาจึงย้อนหลังให้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒
ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่กรมป่าไม้ได้
เพิ่มเติม
กฎหมายไม่มีผลย้อนหลัง
หากเป็นกรณีไม่ใช่โทษในทางอาญา มีผลย้อนหลังเป็นผลร้ายแก่จำเลยได้
ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๓๗
ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕ มิใช่คำสั่งที่มีผลทำให้บุคคลต้องรับโทษทางอาญา(ฎีกาที่
๖๔๑๑/๒๕๓๔), การเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้ง(ฎีกาที่ ๙๐๘๓/๒๕๔๔), วิธีการทางวินัยในการริบทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้ทรัพย์สินโดยไม่ชอบตามมาตรา
๒๐ แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ
พ.ศ.๒๕๑๘(ฎีกาที่ ๒๑๙/๒๕๓๙), การเปลี่ยนโทษจำคุกจำเลย(ซึ่งขณะกระทำความผิดมีอายุ
๑๖ ปีเศษ) ไปรับการฝึกและอบรมยังสถานพินิจ(ฎีกาที่ ๔๕๙๓/๒๕๔๕) เช่นนี้
มิใช่โทษในทางอาญาตาม ป.อ.มาตรา ๑๘
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒ บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้นบัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น ต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย
ถ้าตามบทบัญญัติของกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง
การกระทำเช่นนั้นไม่เป็นความผิดต่อไป
ให้ผู้ที่ได้กระทำการนั้นพ้นจากการเป็นผู้กระทำความผิด และถ้าได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแล้ว
ก็ให้ถือว่าผู้นั้นไม่เคยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดนั้น ถ้ารับโทษอยู่ก็ให้การลงโทษนั้นสิ้นสุดลง
พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ
พ.ศ.๒๕๐๗
มาตรา ๒๖/๔ ผู้ใดกระทำหรือละเว้นการกระทำด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
อันเป็นการทำลายหรือเป็นเหตุให้เกิดการทำลายหรือทำให้สูญหายหรือเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติ
ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ผู้นั้นมีหน้าที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามมูลค่าทั้งหมดของทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย สูญหาย หรือเสียหายไปนั้น
มาตรา ๒๖/๕ ในการดำเนินคดีอาญาแก่ผู้ฝ่าฝืนพระราชบัญญัตินี้ เมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญาให้เรียกค่าเสียหายตามมาตรา
๒๖/๔ ไปในคราวเดียวกัน
อ้างอิง
เกียรติขจร วัจนะสวัสดิ์. คำอธิบายกฎหมายอาญา
ภาค 1. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์พลสยาม พริ้นติ้ง(ประเทศไทย),
2551.
0 Comments
แสดงความคิดเห็น