คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๘๖๙/๒๕๖๑
             ในชั้นตรวจคำฟ้องคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องของโจทก์โดยมิได้มีการวินิจฉัยเกี่ยวกับการกระทำความผิด โจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลชั้นต้นรับชำระคดี ถือว่าเป็นการอุทธรณ์ในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ย่อมอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.๒๕๕๐ ซึ่งมาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้อุทธรณ์คำสั่งหรือคำพิพากษาของศาลชั้นต้นไปยังศาลอุทธรณ์ และมาตรา ๑๘ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาหรือมีคำสั่งโดยมิชักช้า และภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติ มาตรา ๑๖ และมาตรา ๑๙ คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์เฉพาะการกระทำซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้เป็นที่สุด เมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นที่ไม่รับฟ้องของโจทก์ คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์เป็นที่สุด หากโจทก์จะฎีกาต้องยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกาตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๑๙ วรรคหนึ่งซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะไม่อาจนำบทบัญญัติหรือวิธีพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปมาใช้บังคับได้ การที่อัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองฎีกาของโจทก์ว่ามีเหตุอันสมควรที่ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัย เป็นการรับรองให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ๒๒๑ มิใช่การยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกาต่อศาลฎีกา การโจทก์ยื่นฎีกาโดยมิได้ยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อขอให้พิจารณารับฎีกาของโจทก์ไว้วินิจฉัย จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียา เสพติด พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง เป็นฎีกาที่ไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

               ตามฎีกานี้ ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยอยู่ที่จังหวัดระยองและจังหวัดชลบุรี ยากที่จำเลยจะนำสืบพิสูจน์ต่อสู้คดี ทั้งการดำเนินคดีอาจล่าช้าและไม่สะดวก จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
               มาตรา ๒๒๑ ในคดีซึ่งห้ามฎีกาไว้โดยมาตรา ๒๑๘, ๒๑๙ และ ๒๒๐ แห่งประมวลกฎหมายนี้ ถ้าผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณา หรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา หรืออธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย ก็ให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาต่อไป