โจทก์บรรยายฟ้องว่า
เมื่อระหว่างวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ ๑๓ มกราคม
๒๕๕๗ เวลากลางคืนหลังเที่ยง ต่อเนื่องกัน วันใดไม่ปรากฏชัด จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้เสียหายลักทรัพย์ผู้เสียหายไป
แม้คำบรรยายฟ้องของโจทก์พอที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีว่าวันเวลาที่จำเลยกระทำความผิดเป็นช่วงวันเวลาใดและจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องก็ตาม
แต่โจทก์ไม่ได้นำสืบเกี่ยวกับเวลาเกิดเหตุให้ศาลเห็นว่าจำเลยลักทรัพย์ในเวลากลางคืน
ซึ่งความจริงเหตุอาจจะเกิดในเวลากลางวันก็ได้ จึงต้องยกประโยชน์ให้แก่จำเลย
โดยฟังว่าจำเลยลักทรัพย์ในเวลากลางวัน ปัญหาดังกล่าวแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา
แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นแก้ไขให้ถูกต้องได้ตาม
ป.วิ.อ.มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๒๕
ตามฎีกานี้ ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑๑) วรรคแรก(เดิม)
เพิ่มเติม
ถ้าทราบแต่เพียงช่วงเวลาเกิดเหตุ
แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดวันเวลาใด บรรยายฟ้องว่าเหตุเกิดระหว่างวันใดถึงวันใด
แล้วระบุว่าวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ถือเป็นคำฟ้องที่ชอบ(ฎีกาที่ ๑๐๙๘๕/๒๕๕๘,
๓๕๔๑-๓๕๔๒/๒๕๕๐)
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๑๕๘ ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือ
และมี
(๕) การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด
ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ
อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี
มาตรา ๒๒๗ ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง
อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น
เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่
ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๓๕ ผู้ใดลักทรัพย์
(๑) ในเวลากลางคืน
(๑๑)
ที่เป็นของนายจ้างหรือที่อยู่ในความครอบครองของนายจ้าง
0 Comments
แสดงความคิดเห็น