แม้ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่จำเลยซื้อมาจาก
อ. ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโดยฝ่าฝืนและไม่ดำเนินการให้เป็นไปตามขั้นตอนและเงื่อนไขที่พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
พ.ศ.๒๕๒๔ มาตรา ๕๓ และมาตรา ๕๔ กำหนดไว้ แต่ไม่ทำให้จำเลยไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน
พิพาทนั้น เพียงแต่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทจาก อ. ยังคงมีสิทธิที่จะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยผู้รับโอนได้
อ. ทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้จำเลยในระหว่างที่โจทก์เช่าที่ดินพิพาทจาก
อ. ไม่ทำให้การเช่านาพิพาทระหว่าง อ. กับโจทก์ระงับไปเพราะเหตุที่มีการโอนกรรมสิทธิ์
ผู้รับโอนต้องรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ของผู้โอนที่มีต่อผู้เช่านาตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
พ.ศ. ๒๕๒๔ มาตรา ๒๔ เหตุที่การเช่านาจะสิ้นสุดลงก็ต้องเป็นไปตามมาตรา ๓๐ และ ๓๑
และการบอกเลิกการเช่า จะต้องดำเนินการตามมาตรา ๓๔ ถึง ๓๖ และหากผู้เช่านาประสงค์จะบอกเลิกการเช่าก็ต้องดำเนินการตามมาตรา
๓๗ ซึ่งกรณีต่าง ๆ ต้องทำเป็นหนังสือตามระยะเวลาที่กำหนด
แม้การเช่านาสิ้นสุดลงโดยชอบ การที่จะให้ผู้เช่านาออกไปจากที่นายังต้องมีระยะเวลา
ขั้นตอนในการดำเนินการ เมื่อไม่ปรากฏว่า อ. หรือจำเลยได้ดำเนินการตามขั้นตอนใด ๆ
เพื่อให้การเช่านาสิ้นสุดลงก่อนที่จำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาท
ทั้งในสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลพิพากษาตามยอมในคดีที่จำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่พิพาทก็ไม่มีข้อตกลงกันว่าโจทก์สละสิทธิในการซื้อที่ดินพิพาท
และไม่ว่ากรณีจะเป็นอย่างไรก็ตามการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ
หรือตกลงเพื่อยกเว้นสิทธิของโจทก์ที่จะซื้อที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่นาจากจำเลยได้ตามมาตรา
๕๔ อันเป็นบทบัญญัติในกฎหมายที่มุ่งคุ้มครองผู้เช่านาไว้เป็นการเฉพาะซึ่งถือเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนย่อมไม่อาจกระทำได้
เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยใช้สิทธิอุทธรณ์หรือดำเนินการทางศาลเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของ
คชก. ตำบล ทั้งไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ในคดีนี้ว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายประการใด
คำวินิจฉัยของ คชก. ตำบล จึงเป็นที่สุดตามมาตรา ๕๖ วรรคสอง แม้จะมีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีที่จำเลยฟ้องขับไล่โจทก์ออกจากที่ดินพิพาทว่าโจทก์ยินยอมออกไปจากที่ดินพิพาทเมื่อครบกำหนดการเช่า
ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์สละสิทธิที่จะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยในราคาที่ซื้อขายกับเจ้าของเดิมหรือราคาตลาด
แล้วแต่ว่าราคาใดจะสูงกว่ากันตามคำวินิจฉัยของ คชก. ตำบล เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตามมติ
โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลย
ตามฎีกานี้
โจทก์มีอำนาจฟ้องบังคับจำเลย(ซึ่งเป็นผู้ซื้อที่ดินจากเจ้าของเดิม)ให้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์
พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔
มาตรา ๕๓
ผู้ให้เช่านาจะขายนาได้ต่อเมื่อได้แจ้งให้ผู้เช่านาทราบ โดยทำเป็นหนังสือแสดงความจำนงจะขายนา
พร้อมทั้งระบุราคาที่จะขายและวิธีการชำระเงินยื่นต่อประธาน คชก. ตำบล
เพื่อแจ้งให้ผู้เช่านาทราบภายในสิบห้าวัน และถ้าผู้เช่านาแสดงความจำนงจะซื้อนาเป็นหนังสือยื่นต่อประธาน
คชก. ตำบล ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง
ผู้ให้เช่านาต้องขายนาแปลงดังกล่าวให้ผู้เช่านาตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ได้แจ้งไว้
ถ้าผู้เช่านาแสดงความจำนงจะซื้อนาตามราคาที่จะขาย
แต่ไม่ตกลงในวิธีการชำระเงิน ให้ คชก. ตำบล มีอำนาจไกล่เกลี่ย มีคำวินิจฉัยให้ขยายกำหนดเวลาการชำระเงิน
หรือมีคำสั่งอื่นตามที่เห็นสมควร แต่ คชก. ตำบล จะขยายกำหนดเวลาการชำระเงินเกินกว่าหนึ่งปีต่อจากเวลาที่ผู้ให้เช่านากำหนดไว้มิได้
ถ้าผู้เช่านาไม่แสดงความจำนงจะซื้อนาภายในกำหนดสามสิบวัน
หรือปฏิเสธเป็นหนังสือไม่ซื้อนา หรือแสดงความจำนงจะซื้อนาแต่ไม่ชำระเงินภายในกำหนดเวลาที่ตกลงกันหรือเวลาที่
คชก. ตำบล กำหนด ให้ถือว่าผู้เช่านาหมดสิทธิที่จะซื้อนาตามมาตรานี้
ในกรณีผู้เช่านาหมดสิทธิที่จะซื้อนาตามวรรคสามแล้วก็ตาม
แต่ถ้าผู้ให้เช่านาจะขายนาให้บุคคลอื่นในราคาหรือวิธีการชำระเงินที่แตกต่างไปจากราคาและวิธีการชำระเงินที่ได้แจ้งให้ผู้เช่านาทราบตามวรรค
หนึ่ง ผู้ให้เช่านาต้องดำเนินการตามวรรคหนึ่งใหม่
การขายฝาก
การแลกเปลี่ยน และการโอนชำระหนี้จำนอง ให้ถือเป็นการขายตามมาตรานี้ด้วย
มาตรา ๕๔
ถ้าผู้ให้เช่านาขายนาไปโดยมิได้ปฏิบัติตามมาตรา ๕๓
ไม่ว่านานั้นจะถูกโอนต่อไปยังผู้ใด
ผู้เช่านามีสิทธิซื้อนาจากผู้รับโอนนั้นตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ผู้รับโอนซื้อไว้หรือตามราคาตลาด
ในขณะนั้น แล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่ากัน แต่ทั้งนี้ ผู้เช่านาจะต้องใช้สิทธิซื้อนาดังกล่าวภายในกำหนดเวลาสองปีนับแต่วันที่ผู้เช่านารู้หรือควรจะรู้
หรือภายในกำหนดเวลาสามปีนับแต่ผู้ให้เช่านาโอนนานั้น
ถ้าผู้รับโอนตามวรรคหนึ่งไม่ยอมขายนาให้แก่ผู้เช่านา
ผู้เช่านาอาจร้องขอต่อ คชก. ตำบล เพื่อวินิจฉัยให้ผู้นั้นขายนาได้
0 Comments
แสดงความคิดเห็น