จำเลยขับรถแซงรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายทั้งสองบริเวณถนนซึ่งใกล้ทางโค้ง จึงได้เปลี่ยนช่องทางเดินรถกะทันหันลักษณะปาดหน้าเข้าไปในช่องทางเดินรถของผู้เสียหายทั้งสอง ทำให้ผู้เสียหายที่ ๑ ต้องหักหลบตามสัญชาตญาณและเสียหลักพุ่งเข้าชนเสากำแพงปูนข้างทางจนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ ๑ ได้รับอันตรายสาหัสและผู้เสียหายที่ ๒ ได้รับอันตรายแก่กาย อันเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย การกระทำของจำเลย จึงเป็นการกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้น จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ จำเลยย่อมมีความผิดฐานขับรถโดยประมาท หรือน่าหวาดเสียวอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ (๔) ฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัสและเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายตาม ป.อ. มาตรา ๓๐๐ และ ๓๙๐ แม้โจทก์จะมิได้ฟ้องขอให้ลงโทษในความผิดทั้งสองฐานดังกล่าว ศาลฎีกามีอำนาจลงโทษจำเลยได้เพราะการแตกต่างระหว่างการกระทำโดยเจตนากับประมาทนั้น กฎหมายมิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๙๒ วรรคสาม
               ความผิดฐานไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันทีนั้น เมื่อจำเลยขับรถเปลี่ยนช่องทางเดินรถเข้ามาในช่องทางเดินรถของผู้เสียหายทั้งสองอย่างกะทันหันในลักษณะปาดหน้า จนผู้เสียหายที่ ๑ ต้องหักหลบแล้วเกิดอุบัติเหตุทำให้ผู้เสียหายทั้งสองได้รับบาดเจ็บนั้น เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกัน ซึ่งบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากเสาไฟฟ้าสาธารณะมองเห็นได้ชัดเจน จึงเชื่อว่าจำเลยรู้ และเห็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น การที่จำเลยขับรถหลบหนีออกไปจากที่เกิดเหตุ โดยไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานเป็นผู้ขับรถในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือ และแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที
               รถกระบะของกลางเป็นเพียงยานพาหนะที่จำเลยใช้เดินทางไปยังที่เกิดเหตุ ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรงตาม ป.อ. มาตรา ๓๓ (๑) จึงไม่อาจริบได้
               ค่าสินไหมทดแทนที่ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายกคำร้อง แม้ผู้ร้องทั้งสองจะไม่ได้ฎีกาแต่คดีนี้เป็นคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ตาม ป.วิ.อ.มาตรา ๔๖ เมื่อผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้อง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๔๔/๑ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๙๕ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๒๕ ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเพื่อให้เป็นไปตามผลของคดีอาญาได้ เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยกระทำโดยประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้ร้องที่ ๑ ได้รับอันตรายสาหัส และผู้ร้องที่ ๒ ได้รับอันตรายแก่กาย การกระทำของจำเลย จึงเป็นการละเมิดและจำต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้องทั้งสอง

               คดีนี้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓, ๘๐, ๙๑, ๒๘๘ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๔, ๔๓, ๗๘, ๑๕๗, ๑๖๐ และริบรถกระบะของกลาง

พระราชบัญญัติจราจรทางบก
               มาตรา ๔๓ มาตรา ๔๓ ห้ามมิให้ผู้ขับขี่ขับรถ  
               (๔) โดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน
               มาตรา ๗๘ ผู้ใดขับรถหรือขี่หรือควบคุมสัตว์ในทางซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นความผิดของผู้ขับขี่หรือผู้ขี่หรือควบคุมสัตว์หรือไม่ก็ตาม ต้องหยุดรถ หรือสัตว์ และให้ความช่วยเหลือตามสมควร และพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อตำรวจที่ใกล้เคียงทันที กับต้องแจ้งชื่อตัว ชื่อสกุล และที่อยู่ของตนและหมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้ได้รับความเสียหายด้วย
               ในกรณีที่ผู้ขับขี่หรือผู้ขี่หรือควบคุมสัตว์หลบหนีไปหรือไม่แสดงตัวต่อตำรวจ ณ สถานที่เกิดเหตุ ให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำความผิดและให้ตำรวจที่มีอำนาจยึดรถคันที่ผู้ขับขี่หลบหนีหรือไม่แสดงตนว่าเป็นผู้ขับขี่ จนกว่าคดีถึงที่สุดหรือได้ตัวผู้ขับขี่ ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่แสดงตัวต่อตำรวจ ภายในหกเดือนนับแต่วันเกิดเหตุ ให้ถือว่ารถนั้นเป็นทรัพย์สินซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดหรือเกี่ยวกับการกระทำความผิด และให้ตกเป็นของรัฐ