โจทก์ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้จำเลยทั้งสองแล้ว
จำเลยทั้งสองย่อมเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท และมีสิทธิจำหน่ายจ่ายโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทได้
ก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ จำเลยทั้งสองได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตกลงโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทให้แก่บุตรของจำเลยทั้งสองคือ
ผู้ร้องทั้งสามในคดีนี้ และศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว
ย่อมถือได้ว่าผู้ร้องทั้งสามอยู่ในฐานะเป็นผู้มีสิทธิจดทะเบียนสิทธิที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทได้ก่อนนับแต่วันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว
คงติดอยู่เพียงเงื่อนไขที่จะจดทะเบียนสิทธิได้เมื่อมีการชำระหนี้จำนองเสร็จสิ้นแล้วเท่านั้น
ผู้ร้องทั้งสามจึงได้รับความคุ้มครองตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๘๗ (เดิม)
การบังคับคดีนี้จึงต้องไม่กระทบสิทธิของผู้ร้องทั้งสาม ประกอบกับได้ความว่าก่อนโจทก์นำยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท
โจทก์ก็รับทราบสิทธิของผู้ร้องทั้งสามแล้วตามที่ปรากฏในคำบรรยายฟ้องของโจทก์
การที่ โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาท จึงถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ไม่สุจริต
แม้สิทธิของผู้ร้องทั้งสามยังไม่จดทะเบียนก็สามารถยกขึ้นยันโจทก์ได้ตาม ป.พ.พ.
มาตรา ๑๓๐๐ ดังนั้น โจทก์จึงไม่สามารถนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างอันเป็นการบังคับคดีที่กระทบกระเทือนสิทธิของผู้ร้องทั้งสามได้
ตามฎีกานี้
โจทก์เป็นมารดาของจำเลยที่ ๑ ตกลงขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากัน
ในราคา ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท ในวันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้าง
จำเลยทั้งสองชำระเงิน ๙๓๐,๐๐๐ บาท คงค้างชำระหนี้อีก ๕๗๐,๐๐๐ บาท และจำเลยทั้งสองจดทะเบียนจำนองที่พร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่ธนาคารเพื่อประกันหนี้เงินกู้จำนวน
๙๓๐,๐๐๐ บาท ต่อมา จำเลยที่ ๑ ฟ้องจำเลยที่ ๒ เพื่อแบ่งที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว
ต่อมาจำเลยทั้งสองทำสัญญาประนีประนอมยอมความตกลงโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้ร้องทั้งสาม
ซึ่งเป็นบุตร เมื่อจำเลยที่ ๑ ผ่อนชำระหนี้จำนองหมดแล้ว
และเมื่อโอนแล้วห้ามบุตรทั้งสามโอนหรือขายให้แก่บุคคลภายนอกจนกว่า จำเลยที่ ๑
จะเสียชีวิต และในระหว่างชำระหนี้จำนองให้จำเลยที่ ๑ มีสิทธิอยู่อาศัยเก็บกินในบ้านหลังดังกล่าวไปตลอดชีวิต
ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ในวันเดียวกันนั้น จำเลยทั้งสองแถลงต่อศาลชั้นต้นว่ายังคงค้างราคาที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์จำนวน
๕๗๐,๐๐๐ บาท แต่โจทก์ลดยอดหนี้ลงเหลือ ๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยจำเลยทั้งสองจะผ่อนชำระให้แก่โจทก์คนละ ๒,๕๐๐ บาท ต่อเดือน ชำระงวดแรกในวันสิ้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ และทุก ๆ
สิ้นเดือนจนกว่าจะครบ หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีแล้ว
จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงนำยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวออกขายทอดตลาด
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องทั้งสามว่า
มีเหตุให้เพิกถอนการยึดที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างพิพาทหรือไม่
“ผู้ร้องทั้งสามเป็นบุคคลภายนอกจะได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามสัญญาประนีประนอมยอมความของจำเลยทั้งสอง ผู้ร้องทั้งสามเป็นผู้อยู่ในฐานะจดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน”
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๓๐๐ ถ้าได้จดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์หรือทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
เป็นทางเสียเปรียบแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนไซร้
ท่านว่าบุคคลนั้นอาจ เรียกให้เพิกถอนการจดทะเบียนนั้นได้ แต่การโอนอันมีค่าตอบแทน
ซึ่งผู้รับโอนกระทำการโดยสุจริตนั้น ไม่ว่า กรณีจะเป็นประการใด
ท่านว่าจะเรียกให้เพิกถอนทะเบียนไม่ได้
0 Comments
แสดงความคิดเห็น