จำเลยทั้งสี่วางแผนจะเรียกเอาเงินจากผู้เสียหายโดยวิธีให้จำเลยที่
๑ ขับรถยนต์แซงรถยนต์ผู้เสียหายแล้วชะลอความเร็วรถยนต์จนผู้เสียหายต้องแซงรถยนต์จำเลยที่
๑ จากนั้นให้จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ขับรถยนต์ไล่หลังรถยนต์ผู้เสียหาย จนผู้เสียหายถูกบีบให้ต้องรีบขับรถกลับเข้าช่องเดินรถด้านซ้าย
แล้วจำเลยที่ ๑ ขับรถจี้ตามหลังรถยนต์ผู้เสียหาย จนเกิดการเชี่ยวชนกันขึ้น
จากนั้นจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จะขอเจรจาผู้เสียหายเพื่อเรียกเอาเงิน ซึ่งวิธีการของจำเลยทั้งสี่เช่นว่านั้น
จะทำให้เกิดความเสียหายต่อรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์สินของผู้เสียหายอยู่ก่อนแล้ว แม้จำเลยที่
๒ เรียกเอาเงินจากผู้เสียหาย แต่มิใช่คำพูดที่เป็นการขู่เข็ญหรือข่มขู่ว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต
ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้เสียหายทั้งไม่ใช่ใช้กำลังประทุษร้าย
การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงขาดองค์ประกอบที่จะเป็นความผิดฐานกรรโชก
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๗ วรรคหนึ่ง
ตามฎีกานี้
แม้จำเลยทั้งสี่จะมีวิธีดำเนินงานเป็นขบวนการก็ตาม แต่เจ้าพนักงานตำรวจพยานโจทก์ก็มิได้เบิกความยืนยันว่าจำเลยทั้งสี่มีการข่มขู่อย่างไร
ที่เป็นคำพูดข่มขู่ว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สิน
หรือมีการใช้กำลังประทุษร้าย
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๓๗
ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน
โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ
ชื่อเสียงหรือ ทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สาม
จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกรรโชก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
ถ้าความผิดฐานกรรโชกได้กระทำโดย
(๑) ขู่ว่าจะฆ่า
ขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายให้ผู้ถูกข่มขืนใจ หรือผู้อื่นให้ได้รับอันตรายสาหัส
หรือขู่ว่าจะทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ของผู้ถูกข่มขืนใจหรือผู้อื่น หรือ
(๒)
มีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญ
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
0 Comments
แสดงความคิดเห็น