คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๘๓/๒๕๖๒ 
               จำเลยทั้งสี่วางแผนจะเรียกเอาเงินจากผู้เสียหายโดยวิธีให้จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์แซงรถยนต์ผู้เสียหายแล้วชะลอความเร็วรถยนต์จนผู้เสียหายต้องแซงรถยนต์จำเลยที่ ๑ จากนั้นให้จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ขับรถยนต์ไล่หลังรถยนต์ผู้เสียหาย จนผู้เสียหายถูกบีบให้ต้องรีบขับรถกลับเข้าช่องเดินรถด้านซ้าย แล้วจำเลยที่ ๑ ขับรถจี้ตามหลังรถยนต์ผู้เสียหาย จนเกิดการเชี่ยวชนกันขึ้น จากนั้นจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จะขอเจรจาผู้เสียหายเพื่อเรียกเอาเงิน ซึ่งวิธีการของจำเลยทั้งสี่เช่นว่านั้น จะทำให้เกิดความเสียหายต่อรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์สินของผู้เสียหายอยู่ก่อนแล้ว แม้จำเลยที่ ๒ เรียกเอาเงินจากผู้เสียหาย แต่มิใช่คำพูดที่เป็นการขู่เข็ญหรือข่มขู่ว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้เสียหายทั้งไม่ใช่ใช้กำลังประทุษร้าย การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงขาดองค์ประกอบที่จะเป็นความผิดฐานกรรโชก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๗ วรรคหนึ่ง

               ตามฎีกานี้ แม้จำเลยทั้งสี่จะมีวิธีดำเนินงานเป็นขบวนการก็ตาม แต่เจ้าพนักงานตำรวจพยานโจทก์ก็มิได้เบิกความยืนยันว่าจำเลยทั้งสี่มีการข่มขู่อย่างไร ที่เป็นคำพูดข่มขู่ว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สิน หรือมีการใช้กำลังประทุษร้าย

ประมวลกฎหมายอาญา
               มาตรา ๓๓๗ ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือ ทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกรรโชก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
               ถ้าความผิดฐานกรรโชกได้กระทำโดย
               (๑) ขู่ว่าจะฆ่า ขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายให้ผู้ถูกข่มขืนใจ หรือผู้อื่นให้ได้รับอันตรายสาหัส หรือขู่ว่าจะทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ของผู้ถูกข่มขืนใจหรือผู้อื่น หรือ
               (๒) มีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญ
               ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท