คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๕๐๙๔/๒๕๖๑
ป.วิ.พ. มาตรา ๒๗ วรรคแรก
ได้บัญญัติถึงผู้ที่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น
คือคู่ความฝ่ายที่เสียหาย เนื่องจากการที่มิได้ปฏิบัติเช่นว่านั้น
หรืออีกกรณีหนึ่งคือเมื่อศาลเห็นสมควร
ผู้ร้องเป็นบุคคลภายนอกมิได้เกี่ยวข้องเป็นคู่ความในคดี จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
แต่อย่างไรก็ดีหากเป็นกรณีที่ศาลเห็นสมควร ศาลก็มีอำนาจเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นได้
เดิมศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
หลังจากนั้นโจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจนเสร็จสิ้น
แล้วมีการขายที่ดินพิพาทให้แก่ ร. และ ร. ขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่ บ. และ พ.
ก่อนที่จำเลยจะยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการซื้อมาจาก
บ. และ พ. เมื่อได้ความว่า ก่อนที่จำเลยจะยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่
กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทได้โอนไปเป็นของบุคคลภายนอกแล้ว จึงเป็นการพ้นวิสัยที่จะให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิมดังเช่นก่อนบังคับคดีได้
ประกอบกับในขณะนั้นศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำพิพากษา
กรณีจึงยังไม่แน่ชัดว่าเมื่อพิจารณาคดีใหม่แล้ว โจทก์หรือจำเลยจะเป็นฝ่ายชนะคดี
หากโจทก์ยังคงเป็นฝ่ายชนะคดี กรณีก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสั่งให้เพิกถอนใบแทนโฉนดที่ดินและรายการจดทะเบียนในใบแทนโฉนดที่ดินพิพาทตามคำร้องของจำเลยเช่นนั้นในกรณีเช่นนี้
ป.วิ.พ. มาตรา ๑๙๙ เบญจ วรรคสาม ให้อำนาจศาลชั้นต้นในอันที่จะมีคำสั่งอย่างใด ๆ
ตามที่เห็นสมควรเพื่อประโยชน์แก่คู่ความหรือบุคคลภายนอก ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะหมายเรียก
ร. บ. พ. และผู้ร้องให้เข้ามาในการพิจารณาคดีใหม่ด้วย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๕๗ (๓)
การที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่ และมีคำสั่งให้เพิกถอนใบแทนโฉนดที่ดินและรายการจดทะเบียนในใบแทนโฉนดที่ดินพิพาท
แล้วต่อมามีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยมิได้เรียกบุคคลเหล่านั้นเข้ามาในคดี
ย่อมเป็นการกระทบสิทธิของบุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความในคดีเป็นการไม่ชอบด้วย
ปวิ.พ. มาตรา ๑๔๕ วรรคสอง ถือว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.
ว่าด้วยคำพิพากษาหรือคำสั่ง ตามมาตรา ๒๔๓ (๑) ประกอบมาตรา ๒๔๗ (เดิม)
ซึ่งใช้บังคับขณะยื่นฟ้อง และเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
สมควรเพิกถอนการพิจารณาดังกล่าวเสีย
ตามฎีกานี้ ก่อนที่จำเลยจะยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทได้โอนไปเป็นของบุคคลภายนอกแล้ว
ฎีกาที่ ๑๕๖๔/๒๕๖๑ ตาม ป.วิ.พ.
มาตรา ๒๗ วรรคหนึ่ง เมื่อมีการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นพิจารณาได้เอง
หรือคู่ความฝ่ายที่เสียหายมีอำนาจยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนได้
ส่วนระยะเวลาในการยื่นคำร้อง มาตรา ๒๗ วรรคสอง กำหนดให้คู่ความฝ่ายที่เสียหายต้องยื่นไม่ช้ากว่า
๘ วัน นับแต่วันที่ได้ทราบข้อความหรือ พฤติการณ์อันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น
ระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ดังกล่าวใช้บังคับแก่การยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบทุกกรณีไม่ว่าจะอยู่ในระหว่างพิจารณาหรือหลังจากศาลพิพากษา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๒๗ วรรคแรก ในกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรม
หรือที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนในเรื่องการเขียน และการยื่นหรือการส่งคำคู่ความหรือเอกสารอื่น
ๆ หรือในการพิจารณาคดี การพิจารณาพยานหลักฐาน หรือการบังคับคดี
เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อคู่ความฝ่ายที่เสียหายเนื่องจากการที่มิได้ปฏิบัติเช่นว่านั้นยื่นคำขอโดยทำเป็นคำร้อง
ให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเสียทั้งหมดหรือบางส่วน
หรือสั่งแก้ไขหรือมีคำสั่งในเรื่องนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามที่ศาลเห็นสมควร
มาตรา ๕๗
บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด
(๓)
ด้วยถูกหมายเรียกให้เข้ามาในคดี (ก) ตามคำขอของคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่เป็นคำร้องแสดงเหตุว่าตนอาจฟ้องหรือถูกคู่ความเช่นว่านั้นฟ้องตนได้
เพื่อการใช้สิทธิไล่เบี้ย หรือเพื่อใช้ค่าทดแทน ถ้าหากศาลพิจารณาให้คู่ความเช่นว่านั้นแพ้คดี
หรือ (ข) โดยคำสั่งของศาลเมื่อศาลนั้นเห็นสมควร
หรือเมื่อคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคำขอ
ในกรณีที่กฎหมายบังคับให้บุคคลภายนอกเข้ามาในคดี หรือศาลเห็นจำเป็นที่จะเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดีเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
แต่ถ้าคู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จะเรียกบุคคลภายนอกเข้ามาในคดีดังกล่าว
แล้วให้เรียกด้วยวิธียื่นคำร้องเพื่อให้หมายเรียกพร้อมกับคำฟ้องหรือคำให้การ
หรือใน เวลาใด ๆ ต่อมาก่อนมีคำพิพากษาโดยได้รับอนุญาตจากศาล
เมื่อศาลเป็นที่พอใจว่าคำร้องนั้นไม่อาจยื่นก่อนนั้นได้
มาตรา ๑๔๕
ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยการอุทธรณ์ฎีกา และการพิจารณาใหม่
คำพิพากษาหรือคำสั่งใด ๆ ให้ถือว่าผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่ง
นับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่ง จนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลง
แก้ไข กลับหรืองดเสีย ถ้าหากมี
ถึงแม้ศาลจะได้กล่าวไว้โดยทั่วไปว่าให้ใช้คำพิพากษาบังคับแก่บุคคลภายนอกซึ่งมิได้เป็นคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลด้วยก็ดี
คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นย่อมไม่ผูกพันบุคคลภายนอก เว้นแต่ที่บัญญัติ ไว้ในมาตรา
๑๔๒ (๑) มาตรา ๒๔๕ และมาตรา ๓๖๖ และในข้อต่อไปนี้
(๑) คำพิพากษาเกี่ยวด้วยฐานะหรือความสามารถของบุคคล
หรือคำพิพากษาสั่งให้เลิกนิติบุคคล หรือคำสั่งเรื่องล้มละลายเหล่านี้
บุคคลภายนอกจะยกขึ้นอ้างอิงหรือจะใช้ยันแก่บุคคลภายนอกก็ได้
(๒) คำพิพากษาที่วินิจฉัยถึงกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินใด
ๆ เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้
เว้นแต่บุคคลภายนอกนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่า
มาตรา ๑๙๙ เบญจ วรรคสาม เมื่อศาลได้มีคำสั่งอนุญาตตามคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ตามวรรคสอง
คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลโดยจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและคำพิพากษาหรือคำสั่งอื่น ๆ
ของศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาในคดีเดียวกันนั้น และวิธีการบังคับคดีที่ได้ดำเนินไปแล้ว
ให้ถือว่าเป็นอันเพิกถอนไปในตัว และให้ศาลแจ้งให้เจ้าพนักงานบังคับคดีทราบ
แต่ถ้าเป็นการพ้นวิสัยที่จะให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิมดังเช่นก่อนบังคับคดีได้
หรือเมื่อศาลเห็นว่าไม่จำเป็นที่จะบังคับเช่นนั้น
เพื่อประโยชน์แก่คู่ความหรือบุคคลภายนอก ให้ศาลมีอำนาจสั่งอย่างใด ๆ
ตามที่เห็นสมควร แล้วให้ศาลพิจารณาคดีนั้นใหม่ตั้งแต่เวลาที่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
โดยให้จำเลยยื่นคำให้การภายในกำหนดเวลาตามที่ศาลเห็นสมควร
มาตรา ๒๔๓ ให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจดังต่อไปนี้ด้วย
คือ
(๑)
เมื่อคดีปรากฏเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง
และศาลอุทธรณ์เห็นว่ามีเหตุอันสมควร ก็ให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นนั้นเสีย
แล้วส่งสำนวนคืนไปยังศาลชั้นต้นเพื่อให้พิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่
ในกรณีเช่นนี้ศาลชั้นต้นอาจประกอบด้วยผู้พิพากษาอื่นนอกจากที่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่งมาแล้ว
และคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่นี้อาจวินิจฉัยชี้ขาดคดีเป็นอย่างอื่นนอกจากคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถูกยกได้
0 Comments
แสดงความคิดเห็น