คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๕๕๔๒/๒๕๖๑
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานตามฟ้อง
ลงโทษจำคุก ๒ เดือน เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทน การที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก
๑ เดือน เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังแทนนั้น ศาลอุทธรณ์ยังพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานดังกล่าวตามฟ้องอยู่เพียงแต่ลงโทษแตกต่างไปจากศาลชั้นต้นเท่านั้น
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงเป็นการพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น มิใช่พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และไม่ได้ให้อำนาจผู้พิพากษา
ซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒๑๙
ตรี และ ๒๒๑ ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและ วิธีพิจารณาความอาย แขวง พ.ศ.๒๔๙๙
มาตรา ๔ และ พ.ร.บ. ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด
พ.ศ. ๒๕๒๐ มาตรา ๓ ที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการกำหนดโทษหรือรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยนั้น
เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว
การที่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จึงเป็นการมิชอบ
ตามมาตรา ๒๑๙ ตรี
มีลักษณะเป็นห้ามฎีกาและห้ามอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงโดยเด็ดขาด
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๒๑๙ ตรี
ในคดีที่ศาลชั้นต้นลงโทษกักขังแทนโทษจำคุก
หรือเปลี่ยนโทษกักขังเป็นโทษจำคุก หรือคดีที่เกี่ยวกับการกักขังแทนค่าปรับ
หรือกักขังเกี่ยวกับการริบทรัพย์สิน ถ้าศาลอุทธรณ์ มิได้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
มาตรา ๒๒๑ ในคดีซึ่งห้ามฎีกาไว้โดยมาตรา
๒๑๘, ๒๑๙ และ ๒๒๐ แห่งประมวลกฎหมายนี้
ถ้าผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณา หรือลงชื่อในคำ พิพากษาหรือทำ ความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำ คัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา
หรืออธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย
ก็ให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาต่อไป
0 Comments
แสดงความคิดเห็น