คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๓๘๙๗/๒๕๖๑
พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
พ.ศ.๒๕๑๘ มาตรา ๓๖ ทวิ
ได้บัญญัติมิให้ถือว่าที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินเป็นที่ราชพัสดุ และให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
(ส.ป.ก.) เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์เพื่อใช้ในการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
จากบทบัญญัติดังกล่าว เป็นผลทางกฎหมายให้ผู้ครอบครองทำกินในที่ดินดังกล่าวไม่อาจจะครอบครองทำกินบนที่ดินในเขตปฏิรูปอีกต่อไปนับแต่วันมีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขต
เมื่อที่ดินพิพาทอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม แม้ผู้เสียหายซื้อที่ดินพิพาทจากผู้ขายโดยมีค่าตอบแทน
และก่อนหน้านั้นมีการซื้อขายกันมาหลายทอดก็ตาม
แต่ล้วนเป็นการซื้อขายหลังจากมีพระราชกฤษฎีกากำหนดให้ที่ดินพิพาทอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมแล้ว
จึงเป็นการซื้อขายที่ดินพิพาทจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิครอบครองหรือสิทธิทำกินที่กฎหมายให้การรับรองคุ้มครอง
ผู้เสียหายจึงไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินพิพาท ดังนั้นแม้ผู้เสียหายจะตกลงทำหนังสือสัญญาเช่าที่ดินพิพาท
และหนังสือสัญญาจะขายที่ดินพิพาท กับจำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยทั้งสองเข้าครอบครองทำประโยชน์
หลังจากนั้น จำเลยที่ ๒ กลับนำที่ดินพิพาทไปยื่นขอรับการจัดสรรที่ดินตามคำขอเข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินก็ตาม
เมื่อผู้เสียหายไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิใด ๆ ในที่ดินพิพาทแล้ว ผู้เสียหายจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยอันที่จะร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองฐานร่วมกันพยายามยักยอกที่ดินพิพาทซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัว
พนักงานสอบสวนย่อมไม่มีอำนาจสอบสวน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๒๑ วรรคสอง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองตาม
ป.วิ.อ. มาตรา ๑๒๐ ในข้อหาความผิดฐานร่วมกันพยายามยักยอกที่ดินพิพาท ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๑๙๕
วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๒๕
ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ เห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำขอของโจทก์ที่ให้จำเลยทั้งสองคืนที่ดินพิพาทหรือใช้ราคาแก่ผู้เสียหายนั้นถูกต้องแล้ว
แต่ไม่เห็นด้วยกับศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามยักยอกที่ดินพิพาท
ตาม ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก ประกอบมาตรา ๘๓ ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ ต้องแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นไปตามนั้น
โดยพิพากษายืนบางส่วน กลับบางส่วน และมีคำพิพากษาใหม่แทนส่วนที่กลับนั้น ตาม ป.วิ.พ.
มาตรา ๒๔๒ (๔) ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา ๑๕ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓ พิพากษากลับผลคำพิพากษาศาลชั้นต้นทั้งหมดโดยให้ยกฟ้องนั้นจึงไม่ชอบ
เพิ่มเติม
ฎีกาที่ ๕๕๓๗/๒๕๖๑ ที่ดินพิพาทเดิมเป็นป่าสงวนแห่งชาติ
แล้วกรมป่าไม้มอบให้สำ นักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
(ส.ป.ก.) จัดสรรให้เกษตรกรทำ กินตามกฎหมาย
หากโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทมาจากบุคคลอื่นก็เป็นการซื้อขายที่ดินของรัฐ ไม่อาจอ้างสิทธิใช้ยันต่อรัฐได้
และหากประสงค์จะขอเข้ารับการจัดที่ดินต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาตามหลักเกณฑ์
วิธีการและเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกรเข้าถือครองและทำ ประโยชน์ในที่ดินตามที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมกำ หนด ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
พ.ศ.๒๕๑๘ มาตรา ๑๙ (๗) และมาตรา ๓๖ ทวิ
ประกอบกับระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ฯ พ.ศ.๒๕๓๕
ซึ่งไม่แน่นอนว่าโจทก์จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นเกษตรกรผู้มีสิทธิได้รับการจัดที่ดินรวมทั้งได้รับเอกสารสิทธิ
ส.ป.ก. ๔-๐๑ หรือไม่ เพราะเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งกฎหมายมุ่งหมายในการจัดที่ดินให้แก่เกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินของตนเองหรือมีที่ดินเล็กน้อยไม่เพียงพอแก่การครองชีพ
แม้จะมีข้อผ่อนผันให้ผู้มีที่ดินจำ นวนมากสามารถกระจายสิทธิให้แก่บุคคลอื่นได้ก็ตาม
อีกทั้งที่ดินพิพาทมีการโต้แย้งการครอบครองระหว่างโจทก์และจำ เลยซึ่งเคยเป็นสามีภริยากันและ
ยังมิได้มีการออกเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. ๔-๐๑ ให้แก่ผู้ใด
จึงเป็นกรณีที่จะต้องมีการพิจารณาต่อไปว่าผู้ใดอยู่ในฐานะที่จะได้รับเอกสารสิทธิ
ส.ป.ก. ๔-๐๑ ที่อนุญาตให้เข้าทำ ประโยชน์ในที่ดินพิพาทที่อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน
ดังนั้น โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายทางอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๒ (๔) ไม่มีอำ นาจฟ้องจำ เลยความผิดฐานแจ้งความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๒ ในประมวลกฎหมายนี้
(๔) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำ ผิดฐานใดฐานหนึ่ง
รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำ นาจจัดการแทนได้
ดังบัญญัติไว้ในมาตรา ๔, ๕ และ ๖
มาตรา ๑๒๐
ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นก่อน
มาตรา ๑๒๑ พนักงานสอบสวนมีอำ นาจสอบสวนคดีอาญาทั้งปวง
แต่ถ้าเป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว
ห้ามมิให้ทำ การสอบสวนเว้นแต่จะมีคำ ร้องทุกข์ตามระเบียบ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๒๔๒ เมื่อศาลอุทธรณ์ได้ตรวจสำนวนความและฟังคู่ความทั้งปวง
หรือสืบพยานต่อไปดังบัญญัติไว้ในมาตรา ๒๔๐ เสร็จแล้ว
ให้ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดตัดสินอุทธรณ์โดยประการใดประการหนึ่ง ในสี่ประการนี้
(๑)
ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่า อุทธรณ์นั้นต้องห้ามตามกฎหมาย
ก็ให้ยกอุทธรณ์นั้นเสียโดยไม่ต้องวินิจฉัยในประเด็นแห่งอุทธรณ์
(๒) ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นถูกต้อง
ไม่ว่าโดยเหตุเดียวกันหรือเหตุอื่น ก็ให้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นนั้น
(๓) ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำชี้ขาดของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้อง
ให้กลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเสีย และพิพากษาในปัญหาเหล่านั้นใหม่
(๔) ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นถูกแต่บางส่วน
และผิดบางส่วน ก็ให้แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นไปตามนั้น โดยพิพากษายืนบางส่วน
กลับบางส่วน และมีคำพิพากษาใหม่แทนส่วนที่กลับ
0 Comments
แสดงความคิดเห็น