ประเด็น
               ๑. ค่าตอบแทนหรือส่วนลดขายลดเช็ค อัตราร้อยละ ๓ ต่อเดือน ถือว่าเป็นการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราเหมือนเช่นการกู้ยืมเงินหรือไม่
               ๒. จำเลยลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมเงินเพราะถูกข่มขู่ ดังนี้สัญญากู้ยืมเงินเป็นโมฆะหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๖๒๙๔/๒๕๖๑ 
               เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ามลหนี้เดิมเป็นมูลหนี้ที่มาจากการขายลดเช็ค ซึ่งสัญญาขายลดเช็คนั้นมิได้มีกฎหมายห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราไว้เหมือนเช่นการกู้ยืมเงิน ดังนั้น การที่โจทก์คิดค่าตอบแทนหรือส่วนลดในอัตราร้อยละ ๓ ต่อเดือน ในการขายลดเช็คจึงมิใช่การเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราตามกฎหมาย สัญญากู้ยืมเงินจึงมิใช่เอกสารปลอม จำเลยจึงต้องรับผิดชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินให้แก่โจทก์
               ป.พ.พ. มาตรา ๑๖๔ บัญญัติว่าการข่มขู่ที่จะทำให้การใดตกเป็นโมฆียะนั้น จะต้องเป็นการข่มขู่ที่จะให้เกิดภัยอันใกล้จะถึง และร้ายแรงถึงขนาดที่จะจูงใจให้ผู้ถูกข่มขู่มีมูลต้องกลัว ซึ่งถ้ามิได้มีการข่มขู่เช่นนั้น การนั้นก็คงจะมิได้กระทำขึ้นโจทก์นำกลุ่มผู้ชายหลายคนแต่งกายคล้ายตำรวจไปที่บ้านของจำเลย ซึ่งเป็นที่ตั้งโรงงาน พูดจาข่มขู่ว่าบ้านและที่ดินตกเป็นของโจทก์แล้ว หากจำเลยจะดำเนินงานต่อต้องให้เงินโจทก์ ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยกลัว จึงต้องทำสัญญากู้ยืมเงิน การกระทำดังกล่าวเป็นเพียงการติดตามทวงถามให้ชำระหนี้ด้วยพฤติการณ์และการกระทำที่ไม่เหมาะสมเท่านั้น หาได้เกิดภัยอันใกล้จะถึงและร้ายแรงถึงขนาดที่จะถือได้ว่าเป็นการข่มขู่อันจะทำให้สัญญากู้ยืมเป็นโมฆียะไม่

                ตามฎีกานี้ ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยนำเช็คที่ลูกค้าของจำเลยสั่งจ่าย จำนวน ๑๒ ฉบับรวมเป็นเงิน ๔,๘๑๐,๑๙๔.๖๐ บาท มาขายลดให้แก่โจทก์ เมื่อเช็คทั้ง ๑๒ ฉบับ ถึงกำหนดเรียกเก็บเงินปรากฏว่า ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ต่อมาจำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินให้แก่โจทก์
                
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
               มาตรา ๑๖๔ การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่เป็นโมฆียะ
               การข่มขู่ที่จะทำให้การใดตกเป็นโมฆียะนั้น จะต้องเป็นการข่มขู่ที่จะให้เกิดภัยอันใกล้จะถึง และร้ายแรงถึงขนาดที่จะจูงใจให้ผู้ถูกข่มขู่มีมูลต้องกลัว ซึ่งถ้ามิได้มีการข่มขู่เช่นนั้น การนั้นก็คงจะมิได้กระทำขึ้น