คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๗๖/๒๕๖๑
โจทก์บรรยายฟ้องว่า
โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์
(น.ส.๓ ก.) โดยซื้อมาจากพระภิกษุ ป. และเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา
แต่ที่ดินพิพาทกลับมีชื่อจำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของและมีชื่อจำเลยที่ ๒
เป็นผู้รับซื้อฝาก เป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์
ขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
เช่นนี้เท่ากับเป็นการกล่าวหาว่าจำเลยทั้งสองโต้แย้งการครอบครองที่ดินพิพาทของโจทก์
ถือว่ามีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิของโจทก์ตามกฎหมายแล้ว
โจทก์ชอบที่จะเสนอคดีของตนต่อศาลได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕
ส่วนที่ดินพิพาทไม่ใช่แปลงเดียวกับที่โจทก์ซื้อมาจากพระภิกษุ ป. หรือไม่
เป็นข้อเท็จจริงที่คู่ความจะต้องนำสืบพิสูจน์ในชั้นพิจารณา หาทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องไม่
แม้การให้ที่ดินพิพาท
(น.ส.๓ ก.) ระหว่าง ส. กับพระภิกษุ ป. ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตกเป็นโมฆะ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๒๕ ก็ตาม แต่เมื่อ ส. สละการครอบครองและโอนการครอบครองโดยส่งมอบการครอบครอง
ที่ดินพิพาทให้แก่พระภิกษุ ป. การครอบครองที่ดินพิพาทของ ส. ย่อมสิ้นสุดลง ส.
ไม่ใช่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท พระภิกษุ ป.
ย่อมได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๗
มาตรา ๑๓๗๗ และมาตรา ๑๓๗๔
แม้การซื้อขายที่ดินพิพาท
(น.ส.๓ ก.) ระหว่างพระภิกษุ ป. กับโจทก์ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตกเป็นโมฆะ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๕๖ วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่เมื่อพระภิกษุ ป.
ขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์แล้ว พระภิกษุ ป.
ได้สละการครอบครองและโอนการครอบครองโดยส่งมอบที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์
โจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท การครอบครองที่ดินพิพาทของพระภิกษุ
ป. ย่อมสิ้นสุดลง พระภิกษุ ป. ไม่ใช่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
โจทก์ย่อมได้สิทธิในที่ดินพิพาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๖๗ มาตรา ๑๓๗๗ และมาตรา ๑๓๗๘
ค. ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ส. มารดาพระภิกษุ ป.
ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิครอบครองเดิมที่ยกให้ที่ดินพิพาทแก่พระภิกษุ ป.
โดยการส่งมอบการครอบครองให้พระภิกษุ ป. เข้าครอบครองแล้ว แม้การให้มิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตกเป็นโมฆะตามมาตรา
๕๒๕ ก็ตาม ไม่มีสิทธิจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทซึ่งไม่ใช่มรดกของ ส. ให้แก่ อ. อ.
ย่อมไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามหลักกฎหมายทั่วไปที่
ว่าผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน
อ.
ไม่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท (น.ส.๓ ก.) บุคคลอื่น
ซึ่งรับโอนที่ดินพิพาทต่อมารวมทั้งจำเลยที่ ๑ จึงไม่มีสิทธิครอบครองด้วย แม้จำเลยที่
๑ มีชื่อเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓
ก.) และได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๓
ว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครองก็ตาม แต่มิใช่เป็นข้อสันนิษฐานเด็ดขาด โจทก์สามารถนำสืบข้อเท็จจริงหักล้างได้
โจทก์ได้ซื้อและเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท
(น.ส.๓ ก.) ส่วนจำเลยที่ ๑
ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาททางทะเบียนโดยรับซื้อฝากมาจาก ช. ซึ่งไม่มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
และจำเลยที่ ๑ ไม่ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตามความเป็นจริง จำเลยที่
๑ จึงไม่ใช่เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
และไม่มีสิทธิขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๒ แม้การขายฝากระหว่างจำเลยทั้งสองจะทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยสุจริตและจำเลยที่ ๒ เสียค่าตอบแทนก็ไม่ทำให้จำเลยที่ ๒
ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท
เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่เป็นผู้มีสิทธิครอบครองและไม่มีสิทธิขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๒ แล้ว ศาลฎีกาสมควรพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองด้วย
ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำฟ้องซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา
๑๔๒
เพิ่มเติม
ฎีกาที่ ๖๔๓๖/๒๕๕๐ จำเลยที่ ๑ ขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์และส่งมอบการครอบครองให้แล้ว
โดยไม่มีเจตนาที่จะทำสัญญาเป็นหนังสือจึงตกเป็นโมฆะ
แต่ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า การที่จำเลยที่ ๑ ส่งมอบการครอบครองเป็นการโอนการครอบครองที่ดินพิพาทแก่โจทก์ตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๗๘ ที่ดินพิพาทจึงเป็นของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ไม่มีสิทธินำไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์แก่จำเลยที่
๒ เพราะผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน หมายเหตุ ฎีกานี้ ไม่มีประเด็นให้ศาลวินิจฉัยตามมาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง ซึ่งเป็นข้อยกเว้น
ฎีกาที่
๒๕๑๒/๒๕๔๙ จำเลยที่
๑ เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) จำเลยที่ ๑ ขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่
ส. โดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ส.
ขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ ๑ จดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่
๒ โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต ครั้นครบกำหนดจำเลยที่ ๑ ไม่ใช้สิทธิไถ่คืน
แต่หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓ ก.) มิใช่หนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์บุคคลจะพึงมีสิทธิเหนือที่ดินพิพาทคงมีแต่สิทธิครอบครอง
แม้โจทก์จะได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท แต่การได้มาของโจทก์ก็เป็นการได้มาซึ่งทรัพยสิทธิอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากทางนิติกรรมซึ่งถ้ายังมิได้จดทะเบียน
โจทก์จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วหาได้ไม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง จำเลยที่ ๒ จึงเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินพิพาท
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๔๕๖
การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ
วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป
ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย
มาตรา ๕๒๕ การให้ทรัพย์สินซึ่งถ้าจะซื้อขายกันจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น
ท่านว่าย่อมสมบูรณ์ต่อเมื่อได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ในกรณีเช่นนี้ การให้ย่อมเป็นอันสมบูรณ์โดยมิพักต้องส่งมอบ
มาตรา ๑๓๗๖
ถ้าจะต้องส่งทรัพย์สินคืนแก่บุคคลผู้มีสิทธิเอาคืนไซร้ ท่านให้นำบทบัญญัติมาตรา
๕๑๒ ถึง ๔๑๘ แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับโดยอนุโลม
มาตรา ๑๓๗๗
ถ้าผู้ครอบครองสละเจตนาครอบครอง หรือไม่ยึดถือทรัพย์สินต่อไปไซร้
การครอบครองย่อมสุดสิ้นลง
ถ้าเหตุอันมีสภาพเป็นเหตุชั่วคราวมีมาขัดขวางมิให้ผู้ครอบครองยึดถือทรัพย์สินไซร้
ท่านว่าการครอบครองไม่สุดสิ้นลง
มาตรา ๑๓๗๘
การโอนไปซึ่งการครอบครองนั้นย่อมทำได้โดยส่งมอบทรัพย์สินที่ครอบครอง
0 Comments
แสดงความคิดเห็น