คำพิพากษาศาลฎีกาที่
๗๘๔๐/๒๕๖๑
ป.วิ.พ. มาตรา ๑ (๔) บัญญัติว่า “คำให้การ” หมายความว่า กระบวนพิจารณาใด
ๆ ซึ่งคู่ความฝ่ายหนึ่งยกข้อต่อสู้เป็นข้อแก้คำฟ้องตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายนี้
นอกจากคำแถลงการณ์ เมื่อจำเลยที่ ๑ ให้การรับว่าโจทก์มีเงินฝากกับจำเลยที่ ๑ จริง
จึงเป็นข้ออ้างในประเด็นตามคำฟ้องโจทก์ที่จำเลยที่ ๑ ให้การยอมรับ
ถือว่าเป็นข้อที่จำเลยที่ ๑ รับแล้วตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๘๔ (๓) ประกอบกับ ศ.
ทนายความของจำเลยที่ ๑ ก็เบิกความรับว่า โจทก์มีเงินฝากกับจำเลยที่ ๑ จริง
นอกจากนี้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่า จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใด
ส่วนที่จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า มีเพียงจำเลยที่ ๒ และ ส.
เท่านั้นที่รู้เรื่องที่โจทก์นำเงินมาฝากจำเลยที่ ๑ ตามที่เบิกความในศาลชั้นต้น
ซึ่งถือเป็นข้อต่อสู้ที่กล่าวไว้ในการสืบพยานในศาลชั้นต้นแล้วนั้น ย่อมเป็นการนำสืบนอกประเด็นที่จำเลยที่
๑ ได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๑ ย่อมต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง
เพิ่มเติม
ฎีกาที่ ๕๑๑๒/๒๕๖๐ จำเลยที่ ๑
และที่ ๒ ให้การรับว่าจำเลยที่ ๒ เป็นนายจ้างของจำเลยที่ ๑
และไม่ได้ให้การปฏิเสธในข้อที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ ๑ กระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่
๒ จึงต้องถือว่าจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ รับข้อเท็จจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้างนั้นแล้ว
และไม่เป็นประเด็นข้อพิพาท
โจทก์จึงไม่จำต้องนำสืบถึงข้อเท็จจริงดังกล่าวซึ่งถือว่าคู่ความรับกันแล้ว ตาม
ป.วิ.พ.มาตรา ๘๔(๓) ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ ๑
เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ และกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ ดังนั้น
จำเลยที่ ๒ ผู้เป็นนายจ้างจึงต้องร่วมกันรับผิดกับจำเลยที่ ๑
ผู้เป็นลูกจ้างในผลแห่งละเมิดซึ่งลูกจ้างได้กระทำไปในทางการที่จ้างนั้น ตาม
ป.พ.พ.มาตรา ๔๒๕
ฎีกาที่ ๑๙๑๔๔/๒๕๕๖ ข้อที่ว่ากันมาแล้วหรือมิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นหรือไม่
จะต้องพิจารณาจากคำฟ้อง คำให้การ และประเด็นข้อพิพาทในคดีเป็นสำคัญ
ไม่ใช่พิจารณาจากข้อเท็จจริงและการนำสืบพยานหลักฐานในชั้นพิจารณา ทั้งจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
แม้ข้อเท็จจริงในสำนวนคดีจะกล่าวพาดพิงถึงเรื่องอายุความตามที่จำเลยอ้างมาในฎีกาก็ตาม
แต่เมื่อมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นข้อพิพาทไว้
จึงมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น อีกทั้งปัญหาเรื่องอายุความในการใช้สิทธิเรียกร้องคดีแพ่งมิใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
อุทธรณ์ของจำเลยจึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๕ วรรคหนึ่ง
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๘๔
การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคดีใดจะต้องกระทำโดยอาศัยพยานหลักฐานในสำนวนคดีนั้น
เว้นแต่
(๑) ข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป
(๒)
ข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้ หรือ
(๓)
ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล
มาตรา ๒๒๕
ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างในการยื่นอุทธรณ์นั้นคู่ความจะต้องกล่าวไว้
โดยชัดแจ้งในอุทธรณ์และต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น
ทั้งจะต้องเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยด้วย
ถ้าคู่ความฝ่ายใดมิได้ยกปัญหาข้อใดอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้นหรือคู่ความฝ่ายใดไม่สามารถยกปัญหาข้อกฎหมายใด
ๆ ขึ้นกล่าวในศาลชั้นต้น เพราะพฤติการณ์ไม่เปิดช่องให้กระทำได้
หรือเพราะเหตุเป็นเรื่องที่ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติว่าด้วยกระบวนพิจารณาชั้นอุทธรณ์
คู่ความที่เกี่ยวข้องย่อมมีสิทธิที่จะยกขึ้นอ้างซึ่งปัญหาเช่นว่านั้นได้
0 Comments
แสดงความคิดเห็น