คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๙๙/๒๕๖๒
โจทก์ทราบว่าจะต้องอ้างสัญญาจ้างระหว่างบริษัท
อ. กับ บริษัท ส. และแบบยื่นรายการหักภาษี ณ ที่จ่าย (ภ.ง.ด. ๕๓) เป็นพยานหลักฐานในชั้นพิจารณาและรู้อยู่แล้วว่าสรรพเอกสารที่จะอ้างมีอะไรบ้าง
ดังนี้ถือไม่ได้ว่ามีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้โจทก์อ้างพยานหลักฐานดังกล่าวเพิ่มเติมในชั้นฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๘๘ วรรคสาม ประกอบมาตรา ๒๔๖ และ ๒๔๗ (เดิม)
จำเลยออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์เพื่อตอบแทนในการที่โจทก์ช่วยจำเลยหลีกเลี่ยงภาษีเงินได้นิติบุคคล
จึงมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย และเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตกเป็นโมฆะเสียเปล่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๕๐ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระเงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินแก่โจทก์
เพิ่มเติม
ฎีกาที่
๕๕๙๘-๕๕๙๙/๒๕๕๘ ป.วิ.พ. มาตรา ๘๘ วรรคหนึ่ง กำหนดให้คู่ความที่มีความจำนงจะอ้างอิงพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของตน
ต้องยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวัน
หากคู่ความประสงค์จะยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติม ให้ยื่นคำแถลงขอระบุพยานเพิ่มเติมต่อศาลพร้อมบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมภายในสิบห้าวันนับแต่วัน
สืบพยานตามวรรคสองแห่งบทมาตราดังกล่าว แต่หากกำหนดเวลาดังกล่าวล่วงพ้นไปแล้ว
คู่ความฝ่ายใดซึ่งยังมิได้ยื่นบัญชีระบุพยาน มีความจำนงจะอ้างพยานหลักฐานเพื่อสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของตน
คู่ความฝ่ายใดนั้น ต้องยื่นคำร้องขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานเช่นว่านั้นต่อศาลพร้อมบัญชีระบุพยานก่อนพิพากษาคดี
โดยต้องแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลได้ว่า
มีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถมายื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้และศาลจะอนุญาตตามคำร้องเมื่อเห็นว่า
เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม จำเป็นต้องสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้น
ตามที่บัญญัติไว้ในวรรคสามแห่งบทกฎหมายข้างต้น
ฎีกาที่
๑๐๖๗๕-๑๐๖๗๖/๒๕๕๘ คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพิ่งมีมติให้เพิกถอนสิทธิของโจทก์ทั้งสองระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
จึงเป็นกรณีที่จำเลยไม่สามารถระบุมติดังกล่าวไว้ในบัญชีระบุ
พยานยื่นต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๘๘ วรรคหนึ่ง
และมีเหตุอันสมควรที่จะขออนุญาตยื่นพยานเอกสารดังกล่าวต่อศาลฎีกา
เมื่อโจทก์ทั้งสองไม่ คัดค้านการมีอยู่และความแท้จริงของเอกสาร และพยานเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญเกี่ยวกับประเด็นแห่งคดี
ดังนี้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงรับสำเนาเอกสารดังกล่าวเป็นพยานในชั้นฎีกา
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๘๗(๒)
ฎีกาที่
๕๖๕๘/๒๕๕๒ ที่จำเลยทั้งสองอ้างข้อเท็จจริงตามหนังสือบริคณห์สนธิของบริษัท ล.
มาท้ายฎีกานั้น จำเลยทั้งสองเพิ่งกล่าวอ้างขึ้นในชั้นฎีกา เป็นการนำพยานเอกสารเข้าสู่สำนวนความโดยไม่ถูกต้องตาม
ป.วิ.พ. มาตรา ๘๘ และโจทก์ไม่มีโอกาสซักค้านเกี่ยวกับเอกสารนี้
ข้อเท็จจริงตามเอกสารดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้
ฎีกาที่
๓๐๙๐/๒๕๕๒ หนังสือที่จำเลยมีถึงโจทก์แจ้งว่า โจทก์ทราบว่าจำเลยย้ายออกจากพื้นที่เช่าจึงขอคืนพื้นที่จอดรถ
ใบส่งโทรสารของโจทก์ถึงจำเลยเกี่ยวกับพื้นที่จอดรถ และหนังสือที่โจทก์คืนเงินค่าหมายเลขโทรศัพท์ให้แก่จำเลย
แม้จำเลยมิได้อ้างไว้ในบัญชีระบุพยาน ซึ่งฝ่าฝืน ป.วิ.พ. มาตรา ๘๘ แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นจะต้องสืบ
พยานหลักฐานดังกล่าวอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีศาลฎีกามีอำนาจรับฟังพยานหลักฐานนั้นได้ตาม
ป.วิ.พ. มาตรา ๘๗(๒)
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๘๘ วรรคสาม
เมื่อระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง แล้วแต่กรณี
ได้สิ้นสุดลงแล้ว ถ้าคู่ความฝ่ายใดซึ่งได้ยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้ว
มีเหตุอันสมควรแสดงได้ว่าตนไม่สามารถทราบได้ว่า ต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อประโยชน์ของตน
หรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่ หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใด
หรือถ้าคู่ความฝ่ายใดซึ่งมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลได้ว่า
มีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้
คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำร้องขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานเช่นว่านั้นต่อศาลพร้อมกับบัญชีระบุพยานและสำเนาบัญชีระบุพยานดังกล่าวไม่ว่าเวลาใด
ๆ ก่อนพิพากษาคดี และถ้าศาลเห็นว่า เพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม
จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้น ก็ให้ศาลอนุญาตตามคำร้อง
0 Comments
แสดงความคิดเห็น