คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๕๔/๒๕๖๒ 

               โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เงินกู้ หากจำเลยไม่ชำระขอให้บังคับจํานองที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๓๓๙๒ โดยอาศัยหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเป็นหลักฐานการกู้ยืมเงิน จำเลยให้การว่า หนังสือสัญญาจำนองที่ดินที่ทำขึ้นนั้นเป็นนิติกรรมอำพราง การที่โจทก์และมารดาจำเลยตกลงซื้อขายบ้านที่ปลูกสร้างบนที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๓๓๙๒ และที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๓๓๙๓ ซึ่งมารดาจำเลยนำที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๓๓๙๓ ไปเป็นประกันการชำระหนี้ไว้กับเจ้าหนี้รายอื่น โจทก์เกรงว่าระหว่างรอการไถ่ถอนที่ดินดังกล่าว มารดาจำเลยจะนำบ้านไปขายให้แก่บุคคลอื่น จึงให้จำเลยทำสัญญาจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๓๓๙๒ ไว้เป็นประกันการชำระค่าที่ดินครึ่งหนึ่งก่อน ดังนี้ เท่ากับจำเลยรับว่าได้ทำหนังสือสัญญาจำนองที่ดินซึ่งเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินแก่โจทก์และยังไม่ชำระหนี้ตามฟ้อง แต่จำเลยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่เป็นข้อต่อสู้ว่า เงินที่โจทก์ส่งมอบให้นั้นเป็นกรณีที่โจทก์มอบให้แก่มารดาจำเลยเพื่อเป็นการชำระค่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๓๓๙๒ เช่นนี้ถือได้ว่า จำเลยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างใด ๆ ขึ้นใหม่ เพื่อสนับสนุน คำให้การของตน ภาระการพิสูจน์จึงตกอยู่แก่จำเลยที่มีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์อย่างไร ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๘๔/๑ เมื่อจำเลยไม่มีพยานมานำสืบให้ได้ข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้าง จำเลยจึงต้องเป็นฝ่ายแพ้คดี ต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามฟ้อง

เพิ่มเติม
               ฎีกาที่ ๒๒๖๓๑/๒๕๕๕  โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามสัญญากู้ยืม จำเลยทั้งสองยอมรับว่าทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ตามฟ้อง แต่ชำระหนี้เป็นรายวันครบถ้วนแล้ว หน้าที่นำสืบ จึงตกแก่จำเลยทั้งสอง
              
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
               มาตรา ๘๔/๑ คู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพื่อสนับสนุนคำคู่ความของตน ให้คู่ความฝ่ายนั้นมีภาระการพิสูจน์ข้อเท็จจริงนั้น แต่ถ้ามีข้อสันนิษฐานไว้ในกฎหมายหรือมีข้อสันนิษฐานที่ควรจะ เป็นซึ่งปรากฏจากสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์เป็นคุณแก่คู่ความฝ่ายใด คู่ความฝ่ายนั้นต้องพิสูจน์เพียงว่าตนได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานนั้นครบถ้วนแล้ว