คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๕๖๖/๒๕๖๒
ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดบังคับให้จำเลยทั้งสองโอนที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ร้องสอดแล้ว
ถือได้ว่าผู้ร้องสอดอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนของตนได้ก่อน
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๐๐ มีสิทธิที่จะได้รับโอนที่ดินพิพาทก่อน
อันเป็นทรัพยสิทธิที่สามารถ ใช้ยันบุคคลภายนอกได้ทั่วไป ผลของคำพิพากษาคดีนี้อาจมีผลกระทบสิทธิในการบังคับคดีของผู้ร้องสอด
ผู้ร้องสอดเป็นผู้มีส่วนได้เสียในมูลความแห่งคดีนี้ซึ่งโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์และให้รับชำระราคาส่วนที่เหลือจากโจทก์
และมีความ จำเป็นที่จะต้องร้องสอดเข้ามาเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือ
บังคับตามสิทธิที่มีอยู่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๑)
ผู้ร้องสอดมีสิทธิเข้ามาเป็นคู่ความในคดีนี้
ชั้นบังคับคดีของคดีก่อนมีประเด็นว่า
ผู้ร้องสอดมีสิทธิบังคับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาได้เพียงใด คดีนี้มีประเด็นว่า จำเลยทั้งสองต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน
และบันทึกข้อตกลงเพิ่มเติมต่อท้ายสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินหรือไม่ เป็นคนละประเด็นกัน
คู่ความทั้งสองคดีไม่ใช่รายเดียวกัน โดยโจทก์ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีดังกล่าว
จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๕๗
บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่คู่ความอาจเข้ามาเป็นคู่ความได้ด้วยการร้องสอด
(๑) ด้วยความสมัครใจเองเพราะเห็นว่าเป็นการจำเป็นเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครอง หรือบังคับตามสิทธิของตนที่มีอยู่ โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา หรือเมื่อตนมีสิทธิเรียกร้องเกี่ยวเนื่องด้วยการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง โดยยื่นคำร้องขอต่อศาลที่ออกหมายบังคับคดีนั้น
อ่านเพิ่มเติม ดูฎีกาที่ 2133/2561
0 Comments
แสดงความคิดเห็น