ค่าสินไหมทดแทน ละเมิดกรณีเสียหายแก่ร่างกาย
ค่าสินไหมทดแทน มี ๕ กรณี
๑.
ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไป ( มาตรา ๔๔๔ วรรคหนึ่ง )
๒.
ค่าเสียความสามารถประกอบการงานในปัจจุบัน ( มาตรา ๔๔๔ วรรคหนึ่ง )
๓.
ค่าเสียความสามารถประกอบการงานในอนาคต ( มาตรา ๔๔๔ วรรคหนึ่ง)
๔.
ค่าขาดแรงงานของบุคคลภายนอก ( มาตรา ๔๔๕ )
๕.
ค่าเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน ( มาตรา ๔๔๖ )
๑. ค่าใช้จ่ายอันตนต้องเสียไป
๑.๑
ค่ารักษาพยาบาลทุกอย่าง จะเป็นโรงพยาบาลของรัฐหรือเอกชน ถูกหรือแพง ก็ตาม
ได้ทั้งนั้น
ฎีกาที่
๒๔๑๖๒๕๓๔ โจทก์ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากจำเลยกระทำละเมิดจนต้องเข้ารับการรักษาพยาบาลถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีทุกข์ซึ่งโจทก์ไม่มีส่วนผิด
โจทก์ย่อมจะหาความสะดวกเพื่อให้ได้รับทุกข์น้อยที่สุดโดยการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนได้
จำเลยจะกะเกณฑ์ให้โจทก์ไปรับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐหาได้ไม่
โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่ารักษาพยาบาลที่โจทก์ได้จ่ายไปจริง (ดูฎีกาที่ ๗๓๑๗/๒๕๕๓)
๑.๒
ค่าใช้จ่ายอื่นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล
ค่าพาหนะไปมาโรงพยาบาลเพื่อรักษาบาดแผล(ฎีกาที่
๑๐๘๕/๒๕๑๑)
ค่าจ้างพยาบาลเฝ้าไข้
ค่ายา ค่าจ้างรถแท็กซี่ไปโรงพยาบาล ค่าจ้างรถแท็กซี่ไปทำงานเพราะยังเดินไม่ได้ (
ฎีกาที่ ๔๕๐/๒๕๑๖ )
ค่ารักษาพยาบาลในอนาคต
(ฎีกาที่ ๑๗๙๔/๒๕๑๗)
ผู้มีสิทธิเรียกค่ารักษาพยาบาล
๑.
ผู้ถูกกระทำละเมิด
๒.ผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล
เช่น บิดามารดากรณีผู้ถูกกระทำละเมิดเป็นผู้เยาว์ (ฎีกาที่ ๑๑๔๕/๒๕๑๒ )
๓.
ผู้มีหน้าที่ตามสัญญาที่จะต้องชำระค่ารักษาพยาบาลแทนผู้ถูกกระทำละเมิด เช่น
บริษัทประกันภัย ตามมาตรา ๘๘๐
นอกจากนี้ฟ้องไม่ได้
เช่น คู่สมรส ( ฎีกาที่ ๓๘๙/๒๕๓๘ ),
หน่วยงานที่ให้สวัสดิการในการเบิกค่ารักษาพยาบาล ( ฎีกาที่ ๑๕๓๓/๒๕๑๙, ๓๓๕๗/๒๕๓๘ )
๒. ค่าเสียความสามารถประกอบการงานในปัจจุบัน
เช่น
นอกรักษาพยาบาลอยู่โรงพยาบาล ๑ เดือน
ถือว่าเป็นค่าเสียความสามารถประกอบการงานในปัจจุบัน ฟ้องเรียกค่าเสียหายได้
ฎีกาที่
๒๔๑๖/๒๕๓๔ โจทก์ไม่ได้รับเงินเดือนในระหว่างรักษาตัวเนื่องจากเจ็บป่วยเพราะจำเลยกระทำละเมิด
จำเลยต้องรับผิดเต็มจำนวนของเงินเดือนที่โจทก์ไม่ได้รับนั้น จำเลยจะเกี่ยงให้โจทก์นำค่าน้ำมันรถค่าอาหารการกินมาหักจากเงินเดือนก่อนหาได้ไม่
๓.
ค่าเสียความสามารถประกอบการงานในอนาคต
แม้จะทำงานได้บ้างแต่ไม่เหมือนเดิมก็เรียกได้
ฎีกาที่
๓๙๑๓/๒๕๔๘ ขณะเกิดเหตุโจทก์ที่ ๑ อายุ ๑๔ ปี กาลังศึกษาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ ซึ่งต่อไปย่อมสามารถประกอบอาชีพการงานมีรายได้เช่นคนปกติทั่วไป
หลังเกิดเหตุโจทก์ที่ ๑ มีอาการไม่รู้สึกตัวสมองบวม กะโหลก ศีรษะยุบ
เลือดออกใต้หนังศีรษะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเปิดกะโหลก ต้องใช้เวลารักษานานอาจเป็นปี
หลังผ่าตัดแล้วโจทก์ที่ ๑ ยังมีอาการสมองไม่รับรู้ ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
พูดไม่ได้ ต้องจ้างผู้ดูแลตลอดเวลาทั้งไม่ปรากฏว่าจะสามารถรักษาให้โจทก์ที่ ๑ หายเป็นปกติไว้
ปัจจุบันโจทก์ที่ ๑ ยังไม่สามารถช่วยตัวเองได้เช่นนี้ ย่อมทำให้โจทก์ที่ ๑ สูญเสียความสามารถที่จะประกอบอาชีพต่อไปได้โดยสิ้นเชิง
โจทก์ที่ ๑ จึงได้รับความเสียหาย โดยไม่คำนึงว่าจะต้องมีอาชีพแต่อย่างใด
การคิดดอกเบี้ย
ในค่าเสียความสามารถประกอบการงานในอนาคต เรียกได้ ถ้ามีกำหนดจำนวนแน่นอน
นับแต่วันกระทำละเมิด ( ฎีกาที่ ๑๘๑๒/๒๕๓๕ )
๔. ค่าขาดแรงงานของบุคคลภายนอก
บุคคลในครัวเรือน
การขาดแรงงานในครัวเรือนเป็นการไร้อุปการะอย่างหนึ่ง
สามารถเรียกค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ได้(ฎีกาที่ ๑๘๑๒/๒๕๓๕)
แต่ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้ตายในขณะที่มีชีวิตอยู่ได้ช่วยดำเนินกิจการ ไม่สามารถเรียกค่าขาดแรงงานได้(ฎีกาที่
๑๗๙๕๐/๒๕๕๗)
บุคคลนอกครัวเรือน
เช่น ลูกจ้างในโรงงาน
๕.
ค่าเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน
ฎีกาที่
๕๗๕๑/๒๕๔๔ ความเสียหายที่มิใช่ตัวเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๔๖ หมายความว่า
ความเสียหายอันไม่อาจคำนวณเป็นเงินได้แต่ความเสียหายเช่นว่านี้ต้องเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำละเมิดจำเป็นต้องเยียวยาหรือทดแทนความเสียหายให้เช่นเดียวกัน
ซึ่งอาจมีความเสียหายมากยิ่งกว่าความเสียหายต่อร่างกายอีกด้วย
ความเสียหายที่มิใช่ตัวเงิน เช่น ความเจ็บปวดทนทุกขเวทนาระหว่างการรักษาพยาบาลหรือต้องทุพพลภาพพิการต่อไป
ความเสียหายเช่นว่านี้กฎหมายให้ศาลมีอำนาจกำหนดให้ตามพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิด
เพราะค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่มิใช่ตัวเงินย่อมจะนำสืบคิดเป็นจำนวนเงินเท่าใดไม่ได้อยู่ในตัว
เช่น
ค่าทนทุกข์ทรมานกับค่าสูญเสียบุคลิกภาพ ศาลกำหนดให้ตามสมควร ( ฎีกาที่ ๒๔๑๖/๒๕๓๔ )
ค่าเสียหายเพราะต้องทุพพลภาพตลอดชีวิตไม่สามารถควบคุมการขับถ่ายได้
เสียสมรรถภาพทางเพศ ทั้งสองกรณีแยกกันคำนวณค่าเสียหายได้ ( ฎีกาที่ ๗๕/๒๕๓๘)
ฎีกาที่
๒๕๒๗/๒๕๕๓ โจทก์ไม่สามารถเดินได้ตามปกติโดยหลังเกิดเหตุภายหลังการรักษาทำให้ขาข้าขวาสั้นกว่าขาข้างซ้าย
ถือว่าเป็นค่าเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน ตามมาตรา ๔๔๖
ฎีกาที่
๖๐๙๒/๒๕๕๒ ค่าทนทุกข์ทรมานระหว่างเจ็บป่วย
ค่าสมรรถภาพในการมองเห็นและค่าสูญเสียความสวยงามของโจทก์นั้น
ถือได้ว่าเป็นความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินซึ่งโจทก์ มีสิทธิเรียกได้ตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๔๔๖ โดยไม่คำนึงว่าโจทก์ประกอบอาชีพหรือไม่
การเรียกค่าเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินที่ต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานกับความเสียหายอันเป็นการเสียความสามารถประกอบการงาน
ไม่ถือว่าเป็นการเรียกค่าเสียหายซ้ำซ้อนกัน ดูฎีกาที่ ๓๙๔๕/๒๕๕๘
ฎีกาที่
๓๙๔๕/๒๕๕๘ ผลของการทำละเมิดของจำเลยที่ ๓ ทำให้โจทก์ได้รับบาดเจ็บกระดูกขาขวาท่อนล่าง
ซึ่งมี ๒ ท่อนคู่กันกระดูกแต่ละท่อนได้หัก ๒ แห่ง และมีแผลฉีกขาดที่ปลายขา ขวา ยาว
๒๐ เซนติเมตร แพทย์ต้องตัดเนื้อเยื่อจากส่วนอื่นของร่างกายมาใส่แผลที่ฉีกขาด
ต้องผ่าตัดใส่เหล็กดามกระดูกที่หัก ถึง ๒ ครั้ง โจทก์ต้องรับการรักษาต่อเนื่องนานนับปี
ต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานเป็นอันมาก มีรอยแผลเป็นและไม่สามารถเดินได้อย่างปกติเพราะขายาวไม่เท่ากัน
เห็นได้ว่าความเสียหายดังกล่าวเป็นความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินซึ่งโจทก์มีสิทธิเรียกได้จากจำเลยผู้ทำละเมิดตาม ป.พ.พ.มาตรา ๔๔๖ วรรคหนึ่ง
และการที่โจทก์ต้องรับการผ่าตัดกระดูกขาขวานั้นเอง ทำให้โจทก์ไม่สามารถประกอบการงานขับรถจักรยานยนต์ส่งเอกสารได้จนถูกบริษัทนายจ้างสั่งให้ออกจากงาน
แม้ต่อมาโจทก์จะได้กลับไปทำงานขับรถส่งเอกสารอีก
แต่ก็ไม่สามารถขับไปส่งในระยะไกล ๆ ได้ดังเดิม ทำให้รายได้โจทก์ลดลงจากเดิมเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท
เหลือเพียง ๘,๐๐๐ บาท อันถือได้ว่าเป็นการเสียความสามารถประกอบการงานแต่บางส่วนที่คิดเป็นเงินได้
โจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยผู้ทำละเมิดได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๔๔ วรรคหนึ่ง
และไม่เป็นการเรียกค่าเสียหายซ้ำซ้อนกัน
เป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้เสียหายจะโอนกันไม่ได้
และไม่ตกทอดไปยังทายาท
อ้างอิง
เพ็ง เพ็งนิติ. คำอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ว่าด้วยละเมิด พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่
พ.ศ.2539 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยงข้อง. พิมพ์ครั้งที่
10 – ฉบับปรับปรุงใหม่. กรุงเทพฯ: สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา,
2560.
0 Comments
แสดงความคิดเห็น