คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๐๐/๒๕๖๒ 

               แม้หนังสือสัญญาจำนองเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมและเป็นเอกสารมหาชนที่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง เป็นหน้าที่ของคู่ความฝ่ายที่ถูกอ้างเอกสารนั้นมายันต้องนำสืบถึงความไม่บริสุทธิ์หรือความไม่ถูกต้องแห่งเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๒๗ ก็ตาม แต่คดีผู้บริโภคและจำเลยเป็นผู้บริโภคย่อมได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๕๑ มาตรา ๑๐ วรรคท้าย ซึ่งเป็นบทยกเว้นให้จำเลยสามารถนำสืบเพิ่มเติมตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารเพื่อให้ทราบถึงความไม่บริสุทธิ์หรือความไม่ถูกต้องของข้อความที่ถูกทำขึ้นแห่งเอกสารหนังสือสัญญาจำนองว่าจำนวนเงินกู้ยืมที่จำเลยได้รับจริงเพียงใด และโจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งเป็นการนำสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อความที่ระบุไว้ในหนังสือสัญญาจำนองได้ โดยมิตกอยู่ภายใต้บังคับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔

               จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์และโจทก์ส่งมอบเงินกู้ยืมให้จำเลยเพียง ๗๗๒,๐๐๐ บาท มิใช่ ๙๐๐,๐๐๐ บาท และโจทก์คิดดอกเบี้ยจากเงินให้กู้ยืมอัตราร้อยละ ๒ ต่อเดือนมิใช่อัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓ (เดิม) ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๔ ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๒ ต่อเดือน ตกเป็นโมฆะ แต่ไม่ทำให้ส่วนของต้นเงินจำนวน ๗๗๒,๐๐๐ บาท ที่ยังสมบูรณ์ตามหนังสือสัญญาจำนอง ตกเป็นโมฆะด้วยเพราะพึงสันนิษฐานโดยพฤติการณ์แห่งกรณีได้ว่า โจทก์และจำเลยมีเจตนาจะให้ส่วนเงินต้นที่กู้ยืมแท้จริงนั้นแยกออกจากส่วนดอกเบี้ยที่เป็นโมฆะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๓

               ดอกเบี้ยการกู้ยืมเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดต้องห้ามตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.๒๔๗๕ มาตรา ๓ (เดิม) ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๔ ตกเป็นโมฆะ ต้องถือว่าการกู้ยืมเงินโจทก์และจำเลยมิได้มีข้อตกลงในเรื่องอัตราดอกเบี้ยกันไว้ โจทก์คงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากหนี้เงินที่ให้ยืมในระหว่างเวลาผิดนัดอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ตามประมวลกฎหมายและพาณิชย์ มาตรา ๗ ประกอบมาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง

 

               ตามฎีกานี้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน ๙๐๐,๐๐๐ บาท โดยโจทก์คิดดอกเบี้ยหักล่วงหน้าอัตราร้อยละ ๒ ต่อเดือน และโจทก์ส่งมอบเงินกู้ยืมให้จำเลย ๗๗๒,๐๐๐ บาท

 

พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.๒๕๕๑

               มาตรา ๑๐ บทบัญญัติแห่งกฎหมายที่บังคับให้นิติกรรมใดต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้นั้น มิให้นำมาใช้บังคับแก่ผู้บริโภคในการฟ้องบังคับให้ผู้ ประกอบธุรกิจชำระหนี้

               ในกรณีที่บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับให้สัญญาที่ทำขึ้นระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจจะต้องทำตามแบบอย่างใดอย่างหนึ่ง ถึงแม้สัญญาดังกล่าวยังมิได้ทำให้ถูกต้องตามแบบนั้น แต่หากผู้บริโภคได้ วางมัดจำหรือชำระหนี้บางส่วนแล้ว ให้ผู้บริโภคมีอำนาจฟ้องบังคับ ให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดทำสัญญาให้เป็นไปตามแบบที่กฎหมายกำหนดหรือชำระหนี้เป็นการตอบแทนได้

               ในการดำเนินคดีตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง มิให้นำมาตรา ๙๔ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาใช้บังคับแก่ผู้บริโภคในการฟ้องคดีผู้บริโภคและการพิสูจน์ถึงนิติกรรมหรือสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบธุรกิจ