คำพิพากษาฎีกาที่ ๖๑๑๖/๒๕๖๐
(ผู้เสียหายตรวจสอบแล้วมอบให้จำเลยนำไปฝากเข้าบัญชีของผู้เสียหายที่ธนาคาร
กรณีจึงถือได้ว่าขณะนั้นผู้เสียหายได้มอบเงินจำนวนดังกล่าวให้อยู่ในความครอบครองของจำเลยแล้ว)
ผู้เสียหายประกอบกิจการร้าน ซ.จำเลยเป็นพนักงานของผู้เสียหาย
มีหน้าที่ดูแลกิจการในร้าน ซ. และนำเงินรายได้ของร้านไปฝากธนาคาร โดยเมื่อพนักงานของร้านขายสินค้าได้แล้วจะนำเงินที่ได้รับจากลูกค้าใส่ซองหย่อนลงไปในตู้นิรภัยของร้านซึ่งจำเลยเป็นผู้ถือกุญแจตู้นิรภัยเพียงคนเดียว
และไม่มีสิทธินำเงินรายได้ดังกล่าวไปใช้ส่วนตัว
เวลาประมาณ ๑๓ นาฬิกาของทุกวัน จำเลยต้องนำกุญแจไปไขตู้นิรภัยนำเงินรายได้ของร้านออกมาแล้วไปตรวจนับต่อหน้า
ส. และ ท. เมื่อทราบจำนวนเงินรายได้แล้ว
ส. จะเขียนใบนำฝากเงิน
และมอบสมุดบัญชีของตนเองให้จำเลย จากนั้นจำเลยจะขับรถยนต์นำเงินพร้อมสมุดบัญชีและ ใบนำฝากไปฝากเงินที่ธนาคาร วันรุ่งขึ้นจำเลยต้องนำใบรับฝากเงินที่มีตราประทับจากธนาคารส่งคืนให้แก่ผู้เสียหายเพื่อตรวจสอบยอดเงินที่นำไปฝากธนาคารว่าครบถ้วนหรือไม่
วันเกิดเหตุ ธ. และบุตรของ ท. ได้ร่วมตรวจนับเงินกับจำเลยแล้วมอบเงินจำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท ให้จำเลยนำไปฝากธนาคาร หลังจากนั้นจำเลยร่วมกับพวกเอาเงินนั้นไป การที่จำเลยใช้กุญแจไขตู้นิรภัยนำเงินรายได้ของร้าน ซ. ออกมาแล้วนำไปตรวจนับต่อหน้า ส. และ ท.
เป็นเพียงการทำงานในหน้าที่ดูแลเงินชั่วคราวเท่านั้น
หาใช่เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายได้มอบการครอบครองเงินให้แก่จำเลยโดยเด็ดขาดไม่ ดังนี้ ขณะนั้นจำเลยจึงไม่ใช่ผู้ครอบครองเงินของผู้เสียหายแต่เมื่อจำเลยเอาเงินจำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท ของผู้เสียหายไป
หลังจากที่ผู้เสียหายตรวจสอบแล้วมอบให้จำเลยนำไปฝากเข้าบัญชีของผู้เสียหายที่ธนาคาร
กรณีจึงถือได้ว่าขณะนั้นผู้เสียหายได้มอบเงินจำนวนดังกล่าวให้อยู่ในความครอบครองของจำเลยแล้วเพราะจำเลยต้องถือและรักษาเงินจำนวนนั้น จนกระทั่งนำไปฝากเข้าบัญชีของผู้เสียหายที่ธนาคารให้เรียบร้อย
การที่จำเลยวางแผนให้พวกจำเลยมาแย่งเอาเงินไปในระหว่างเดินทางไปธนาคารจึงเป็นความผิดฐานยักยอก
เพิ่มเติม
ฎีกาที่
๑๕๗๒๓/๒๕๕๗ จำเลยมีหน้าที่รับเงินที่ลูกค้านำมาชำระค่างวดสินเชื่อให้แก่โจทก์และออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ลูกค้า
แล้วนำเงินที่รับจากลูกค้าเข้าบัญชีของโจทก์
หากไม่ทันต้องทำภายในวันรุ่งขึ้น
แสดงว่าจำเลยสามารถนำเงินไปเข้าบัญชีของโจทก์ในวันรุ่งขึ้นหลังจากรับเงินจากลูกค้าได้
แต่จำเลยกลับไม่นำเงินที่ได้รับจากลูกค้าไปเข้าบัญชีของโจทก์เลย
จนกระทั่งโจทก์ตรวจพบการกระทำของจำเลย
พฤติการณ์ของจำเลยฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาเบียดบังเอาเงินของโจทก์ไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่นตั้งแต่รับเงินจากลูกค้าของโจทก์ทั้งห้ารายแล้ว
จำเลยจึงมีความผิดฐานยักยอกตาม
ป.อ. มาตรา ๓๕๒ วรรคแรก
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๕๒
ผู้ใดครอบครองทรัพย์ซึ่งเป็นของผู้อื่น หรือซึ่งผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย
เบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือบุคคลที่สามโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานยักยอก
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าทรัพย์นั้นได้ตกมาอยู่ในความครอบครองของผู้กระทำความผิด เพราะผู้อื่นส่งมอบให้โดยสำคัญผิดไปด้วยประการใด หรือเป็นทรัพย์สินหายซึ่งผู้กระทำความผิดเก็บได้ ผู้กระทำต้องระวางโทษแต่เพียงกึ่งหนึ่ง
0 Comments
แสดงความคิดเห็น