คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๓๙/๒๕๖๓
โจทก์ยื่นคำแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่
๒ นอกเหนือจากทรัพย์จำนอง โดยอ้างว่าหนี้ตามคำพิพากษาถึงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
เป็นเงิน ๕๘๓,๗๔๒.๒๓ บาท แต่วันที่
๒๙ สิงหาคม ๒๕๕๙ โจทก์นำยึดทรัพย์จำนองมีราคาประเมิน ๓๗๔,๕๓๐
บาท โดยปรากฏภาระหนี้วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๙ เป็นเงินต้น ๒๒๗,๕๔๓.๕๒ บาท ดอกเบี้ย ๗๙,๙๙๖.๙๘ บาท รวมเป็นเงิน ๓๐๗,๕๔๐.๕๐ บาท น้อยกว่าราคาประเมินมาก ทั้งต่อมามีการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เป็นเงิน
๓๙๐,๐๐๐ บาท แม้หนี้ตามคำพิพากษาถึงวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
เป็นเงิน ๕๘๓,๗๘๒.๒๓ บาท แต่ก็ไม่ปรากฏว่าช่วงเวลา ๙ ปี ๑๑
เดือนเศษ มีเหตุใดที่ทำให้ไม่อาจขายทอดตลาดได้ อันมีผลให้ภาระหนี้เพิ่มมากขึ้นจนเกินกว่าราคาที่ขายทอดตลาดได้
โดยเฉพาะการทำสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งสองได้ระบุขั้นตอนบังคับคดีไว้ว่าหากขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้ไม่พอชำระหนี้
ให้โจทก์บังคับคดีเอากับทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสอง การที่ยังไม่มีการขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง
เพื่อให้ปรากฏข้อเท็จจริงจริงว่าทรัพย์จำนองไม่พอชำระหนี้ แต่โจทก์กลับขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่
๒ นอกเหนือจากทรัพย์จำนอง จึงไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในคำพิพากษาตามยอม ซึ่งผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๑๔๕ โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ ๒
ตามฎีกานี้ ในขณะที่โจทก์นำยึดทรัพย์จำนอง
ภาระหนี้สินน้อยกว่าราคาประเมินมาก เนื่องจากยังไม่มีการขายทอดตลาดทรัพย์สินจำนอง
ภาระหนี้สินจึงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งมากกว่าราคาประเมินทรัพย์จำนอง
โจทก์จึงขอยึดทรัพย์สินอื่นนอกจากทรัพย์จำนอง เมื่อยังไม่มีการขายทอดตลาดทรัพย์จำนอง เพื่อให้ปรากฏข้อเท็จจริงจริงว่าทรัพย์จำนองไม่พอชำระหนี้
แต่โจทก์กลับขอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ ๒ นอกเหนือจากทรัพย์จำนอง
จึงไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในคำพิพากษาตามยอม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๒๗๔
ถ้าคู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายแพ้คดีหรือบุคคลที่ศาลมีคำ พิพากษาหรือคำ สั่งให้ชำ ระหนี้
(ลูกหนี้ตามคำ พิพากษา)
มิได้ปฏิบัติตามคำ บังคับที่ออกตามคำ พิพากษาหรือคำ สั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน
คู่ความหรือบุคคลซึ่งเป็นฝ่ายชนะคดีหรือบุคคลที่ศาลมีคำ พิพากษาหรือคำ สั่งให้ได้รับชำ ระหนี้ (เจ้าหนี้ตามคำ พิพากษา)
ชอบที่จะร้องขอให้มีการบังคับคดีโดยวิธียึดทรัพย์สิน อายัดสิทธิเรียกร้อง
หรือบังคับคดีโดยวิธีอื่นตามบทบัญญัติแห่งภาคนี้ภายในสิบปีนับแต่วันที่มีคำ พิพากษาหรือคำ สั่ง และถ้าเจ้าหนี้ตามคำ พิพากษาได้ร้องขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องใดไว้หรือได้ดำ เนินการบังคับคดีโดยวิธีอื่นไว้บางส่วนแล้วภายใน
ระยะเวลาดังกล่าว ก็ให้ดำ เนินการบังคับคดีแก่ทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้อง
หรือบังคับคดีโดยวิธีอื่นนั้นต่อไปจนแล้วเสร็จได้
ถ้าคำ พิพากษาหรือคำ สั่งกำ หนดให้ชำ ระหนี้เป็นงวด เป็นรายเดือน หรือเป็นรายปี หรือ กำ หนดให้ชำ ระหนี้อย่างใดในอนาคต ให้นับระยะเวลาสิบปีตามวรรคหนึ่งตั้งแต่วันที่หนี้ตามคำ พิพากษาหรือคำ สั่งนั้นอาจบังคับให้ชำ ระได้
ถ้าสิทธิเรียกร้องตามคำ พิพากษาหรือคำ สั่งเป็นการให้ชำ ระเงิน ส่งคืนหรือส่งมอบทรัพย์ เฉพาะสิ่ง
บุคคลซึ่งได้รับโอนหรือรับช่วงสิทธิตามคำ พิพากษาหรือคำ สั่งนั้นมีอำ นาจบังคับคดีตามความในหมวด ๒
การบังคับคดีในกรณีที่เป็นหนี้เงินหรือหมวด ๓ การบังคับคดีในกรณีที่ให้ส่งคืน
หรือส่งมอบทรัพย์เฉพาะสิ่งแล้วแต่กรณี
โดยการร้องขอต่อศาลเพื่อเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำ พิพากษาต่อไป
0 Comments
แสดงความคิดเห็น