คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๐๒/๒๕๖๓
จำเลยกับผู้เสียหายอยู่กินกันโดยมิได้จดทะเบียนสมรสระหว่างอยู่กินด้วยกันร่วมกันลงทุนประกอบกิจการร้านอินเทอร์เน็ตที่บ้านผู้เสียหาย
ทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ระหว่างอยู่กินกันฉันสามีภริยาย่อมเป็นกรรมสิทธิ์รวม
โดยแต่ละฝ่ายมีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินคนละส่วนเท่า ๆ กัน
เมื่อเลิกกันต้องแบ่งกรรมสิทธิ์คนละครึ่ง การที่จำเลยกับพวกขนทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์รวมขณะอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหายไปเป็นของตนฝ่ายเดียวทั้งหมด
จึงเป็นการเอาทรัพย์ที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๗) วรรคแรก (เดิม) ประกอบมาตรา ๓๓๖ ทวิ, ๘๓
ตามฎีกานี้ โจทก์ฎีกาว่า
จำเลยกับผู้เสียหายอยู่กินด้วยกันโดยมิได้จดทะเบียนสมรส
และร่วมลงทุนทำร้านอินเตอร์เน็ตเข้าลักษณะสัญญาจัดตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน
การที่จำเลยมาเอาทรัพย์ของกลางไปโดยผู้เสียหายไม่ยินยอม
จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นั้น
เพิ่มเติม
ฎีกาที่ ๓๑๔๒/๒๕๕๗ แม้จำเลยและผู้เสียหายเป็นเจ้าของรวมในสวนยางพาราที่เกิดเหตุ
แต่ก่อนเกิดเหตุจำเลยยอมให้ผู้เสียหายครอบครองและได้ประโยชน์เพียงผู้เดียว การที่จำเลยจ้าง
ส. เข้าไปกรีด ยางพาราจะเอาน้ำยางพาราไปเพียงผู้เดียว
จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตนเอง
ย่อมเป็นการทุจริตแล้ว เมื่อน้ำยางพาราที่กรีดยังอยู่ในถ้วยรองน้ำยางยังไม่ได้ถูกนำไปเป็นเพียงพยายามกระทำความผิดฐานลักทรัพย์
หมายเหตุ ขณะกระทำความผิด จำเลยกับผู้เสียหายได้หย่าขาดจากกันแล้ว
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๓๔ ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น
หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์
ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท
มาตรา ๓๓๕ ผู้ใดลักทรัพย์
(๗) โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป
0 Comments
แสดงความคิดเห็น