คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๒๒๘/๒๕๖๓
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๗๘ ที่บัญญัติว่า “เมื่อปรากฏว่ามีเหตุบรรเทาโทษ
ถ้าศาลเห็นสมควรจะลดโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นก็ได้”
เป็นบทบัญญัติ ให้ศาลใช้ดุลพินิจในการลงโทษให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์ของผู้กระทำความผิดเป็นรายบุคคลไป
หาใช่บทบังคับที่จะต้องลดโทษให้แก่ผู้กระทำความผิดเพราะมีเหตุบรรเทาโทษเสมอไปไม่
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔
ไม่ได้ยกปัญหาที่จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพในชั้นอุทธรณ์มาเป็นเหตุลดโทษให้จำเลยทั้งสองเพราะเห็นว่าล่วงเลยเวลาที่จะขอแก้หรือเพิ่มเติมคำให้การหรืออุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองแล้ว
จึงมิใช่การลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานหรือให้ความรู้แก่ศาล
อันจะเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ย่อมเป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ ภาค ๔
ที่จะไม่ลดโทษให้จำเลยทั้งสองได้ กรณีไม่ใช่เรื่องที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๔
วินิจฉัยคดีและพิพากษาโดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ถูกต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘
ตามฎีกานี้
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค ๔ จำเลยทั้งสองยื่นคำร้อง
ขอให้การรับสารภาพในชั้นอุทธรณ์และขอให้รอการลงโทษ
เพิ่มเติม
ฎีกาที่
๑๘๔๕/๒๕๖๐ ตามบทบัญญัติ ป.อ.
มาตรา ๗๘ เมื่อปรากฏว่ามีเหตุบรรเทาโทษ
ถ้าศาลเห็นสมควรจะลดโทษให้ไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นก็ได้ซึ่งเป็นบทบัญญัติในการใช้ดุลพินิจในการลงโทษให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์ของผู้กระทำความผิดเป็นรายบุคคลไป
หาใช่บทบัญญัติให้ศาลต้องแสดงเหตุผลเมื่อไม่ลดโทษให้ผู้กระทำความผิด
ทั้งการที่ศาลชั้นต้นไม่ระบุเหตุผลอาจเพราะเห็นว่าไม่จำเป็นหรือเห็นว่าไม่สมควรลดโทษในส่วนโทษปรับรายวันให้
ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล ฉะนั้น การที่ศาลไม่ได้ลดโทษปรับรายวันให้จำเลยทั้งสองโดยไม่ระบุเหตุผล
จึงไม่ใช่เรื่องที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยคดีโดยไม่ชอบด้วย ป.อ. มาตรา ๗๘
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๗๘
เมื่อปรากฏว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ไม่ว่าจะได้มีการเพิ่มหรือการลดโทษตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นแล้วหรือไม่
ถ้าศาลเห็นสมควร จะลดโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นก็ได้
เหตุบรรเทาโทษนั้น ได้แก่ผู้กระทำความผิดเป็นผู้โฉดเขลาเบาปัญญาตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส มีคุณความดีมาแต่ก่อน รู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น ลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงานหรือให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา หรือเหตุอื่นที่ศาลเห็นว่ามีลักษณะทำนองเดียวกัน
0 Comments
แสดงความคิดเห็น