คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๕/๒๕๖๓ 

               โจทก์ใช้เงินสินส่วนตัวของโจทก์ก่อสร้างบ้าน โรงจอดรถ คอกวัว และศาลาริมน้ำในที่ดินพิพาทของโจทก์ แม้เป็นการก่อสร้าง ในระหว่างที่โจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นสามีภริยากันก็จะถือว่าบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินที่โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้มาระหว่างสมรสหาได้ไม่ บ้านพิพาทย่อมเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๗๒ วรรคหนึ่ง โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากบ้านพิพาทและเรียกค่าเสียหายได้

 

               ตามฎีกานี้ เงินที่นำมาซื้อที่ดินพิพาทและก่อสร้างบ้านเป็นเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ซึ่งเปิดไว้ก่อนที่โจทก์จะมาอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ ๑ และโจทก์เป็นผู้มีสิทธิเบิกถอนจากบัญชีดังกล่าวเพียงผู้เดียว โจทก์ยังใช้เงินส่วนตัวก่อสร้างบ้าน โรงจอดรถ คอกวัว และศาลาริมน้ำ ฝ่ายจำเลยที่ ๑ ปรากฏว่า ก่อนอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์ เป็นหนี้ธนาคาร ๑๐๐,๐๐๐ กว่าบาท และหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ๔๐๐,๐๐๐ บาท และหนี้อื่นๆ อีกประมาณ ๘๐๐,๐๐๐ บาท จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ ๑ จะมีฐานะการเงินพอที่จะปลูกสร้างบ้านพิพาท

 

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

               มาตรา ๑๔๗๑ สินส่วนตัวได้แก่ทรัพย์สิน

               (๑) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส

               มาตรา ๑๔๗๒ สินส่วนตัวนั้น ถ้าได้แลกเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินอื่นก็ดี ซื้อทรัพย์สินอื่นมาก็ดี หรือขายได้เป็นเงินมาก็ดี ทรัพย์สินอื่นหรือเงินที่ได้มานั้นเป็นสินส่วนตัว

               สินส่วนตัวที่ถูกทำลายไปทั้งหมดหรือแต่บางส่วน แต่ได้ทรัพย์สินอื่นหรือเงินมาทดแทน ทรัพย์สินอื่นหรือเงินที่ได้มานั้นเป็นสินส่วนตัว