คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๐๖๕/๒๕๖๓(ประชุมใหญ่)
ตามคำขอใช้สิทธิรับเงินคืนตามโครงการมาตรการรถยนต์คันแรกและเงื่อนไขสำหรับรถยนต์ใหม่คันแรกตามนโยบายรัฐบาล
มีข้อตกลงให้โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยได้เฉพาะในกรณีที่จำเลยผิดนัดไม่นำเงินที่ได้รับไปส่งคืนให้แก่โจทก์ภายในระยะเวลาที่โจทก์แจ้ง
มิได้ให้สิทธิโจทก์ที่จะคิดดอกเบี้ยก่อนผิดนัด การตกลงในเรื่องดอกเบี้ยไว้เช่นนี้ แม้จะชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๒๒๔ วรรคหนึ่ง ก็ตาม แต่การคิดดอกเบี้ยเนื่องจากการไม่ชำระหนี้ ต้องถือว่าเป็นข้อตกลงกำหนดเบี้ยปรับอย่างหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๙
ศาลมีอำนาจที่จะปรับลดเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วนลงได้เป็นจำนวนพอสมควรตาม มาตรา ๓๘๓ วรรคหนึ่ง
ตามฎีกานี้
จำเลยเข้าร่วมโครงการรถยนต์ใหม่คันแรก
โดยจำเลยยื่นคำขอใช้สิทธิรับเงินคืน(เงินภาษีสรรพสามิต)
แต่จำเลยผิดนัดชำระหนี้ค่างวดเช่าซื้อ ๓ งวดติดต่อกัน ก่อนครบกำหนดระยะเวลา ๕ ปี ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาและยึดรถคืน
โจทก์(กรมสรรพสามิต) จึงเรียกเงินคืนจากจำเลย
ข้อตกลงจะใช้เงินจำนวนหนึ่งเมื่อไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ถูกต้องสมควร
ถือเป็นเบี้ยปรับ(ฎีกาที่ ๗๖๑๘/๒๕๕๒)
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๓๗๙
ถ้าลูกหนี้สัญญาแก่เจ้าหนี้ว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งเป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ก็ดี หรือไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องสมควรก็ดี
เมื่อลูกหนี้ผิดนัดก็ให้ริบเบี้ยปรับ ถ้าการชำระหนี้อันจะพึงทำนั้นได้แก่งดเว้นการอันใดอันหนึ่ง
หากทำการอันนั้นฝ่าฝืนมูลหนี้เมื่อใด
ก็ให้ริบเบี้ยปรับเมื่อนั้น
มาตรา ๓๘๓
ถ้าเบี้ยปรับที่ริบนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้
ในการที่จะวินิจฉัยว่าสมควรเพียงใดนั้น ท่านให้พิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมาย
ไม่ใช่แต่เพียงทางได้เสียในเชิงทรัพย์สิน เมื่อได้ใช้เงินตามเบี้ยปรับแล้ว สิทธิเรียกร้องขอลดก็เป็นอันขาดไป
นอกจากกรณีที่กล่าวไว้ในมาตรา ๓๗๙
และ ๓๘๒ ท่านให้ใช้วิธีเดียวกันนี้บังคับ
ในเมื่อบุคคลสัญญาว่าจะให้เบี้ยปรับเมื่อตนกระทำหรืองดเว้นกระทำการอันหนึ่งอันใดนั้นด้วย
0 Comments
แสดงความคิดเห็น