คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๘๓๐/๒๕๖๒
ในคดีอาญาพนักงานอัยการโจทก์ฟ้องจำเลยที่
๑ ถึงที่ ๓ ต่อศาลชั้นต้น ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงกับมีคำขอให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่
๓ คืนหรือใช้เงินที่ผู้เสียหายส่งมอบให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ แก่ผู้เสียหาย
คือโจทก์คดีนี้ ซึ่งเป็นคำขอในส่วนแพ่งที่พนักงานอัยการโจทก์ฟ้องคดีแทนโจทก์คดีนี้ด้วย
ทั้งคดีอาญาดังกล่าวโจทก์คดีนี้ได้ยื่นคำร้องขออนุญาตเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการซึ่งศาลชั้นต้นอนุญาต
เมื่อเงินจำนวนดังกล่าวเป็นเงินรายเดียวกันกับที่โจทก์ฟ้องและมีคำขอบังคับให้จำเลยที่
๑ ถึงที่ ๓ คืนในคดีนี้ โดยโจทก์ยื่นคำฟ้องในระยะเวลาที่คดีอาญาอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค
๕ ฟ้องโจทก์ สำหรับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓
ในส่วนเงินที่ส่งมอบอันเป็นต้นเงินที่เรียกร้องในคดีนี้
เป็นฟ้องซ้อนกับคดีส่วนแพ่งในคดีอาญาดังกล่าวของศาลชั้นต้น
ต้องห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๓
วรรคสอง (๑) แต่ในส่วนดอกเบี้ย
พนักงานอัยการไม่ได้ขอให้ชดใช้ในคดีอาญาจึงไม่เป็นฟ้องซ้อน
ตามฎีกานี้
ในคดีอาญาศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องโจทก์
เพิ่มเติม
ฎีกาที่ ๑๐๓๙/๒๕๑๖ (ประชุมใหญ่)
วินิจฉัยว่า ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องว่าจำเลยลักทรัพย์ กับขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายด้วยนั้น
แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องคดีส่วนอาญา แต่เมื่อคำขอส่วนแพ่งเป็นคำขอที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาที่โจทก์ฟ้อง
ดังนี้ อำนาจของพนักงานอัยการที่จะว่ากล่าวเกี่ยวกับคำขอส่วนแพ่งยังคงมีอยู่ต่อไป
ศาลจึงมีอำนาจสั่งให้จำเลยคืน หรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายได้
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๑๗๓
เมื่อศาลได้รับคำฟ้องแล้ว ให้ศาลออกหมายส่งสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยเพื่อแก้คดี
และภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันยื่นคำฟ้องให้โจทก์ร้องขอต่อ
พนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อให้ส่งหมายนั้น ๆ
นับแต่เวลาที่ได้ยื่นคำฟ้องแล้ว
คดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา และผลแห่งการนี้
(๑) ห้ามไม่ให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันนั้นต่อศาลเดียวกัน
หรือต่อศาลอื่นและ
(๒)
ถ้ามีเหตุเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในพฤติการณ์อันเกี่ยวด้วยการยื่นฟ้องคดีต่อศาลที่มีเขตศาลเหนือคดีนั้น
เช่น การเปลี่ยนแปลงภูมิลำเนาของจำเลย การเปลี่ยนแปลงเช่นว่านี้หาตัดอำนาจศาลที่รับฟ้องคดีไว้ในอันที่จะพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีนั้นไม่
0 Comments
แสดงความคิดเห็น