คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๑๗/๒๕๖๔ (ประชุมใหญ่)
คดีนี้
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ถึงที่ ๖ ฟังเมื่อวันที่
๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ อ่านให้โจทก์ฟังเมื่อวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาไปถึงวันที่
๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๘ ศาลชั้นต้นอนุญาต แต่โจทก์ไม่ได้ยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้จำเลยที่
๒ เมื่อวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๘ โดยระบุว่าคดีถึงที่สุดวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘
เป็นการไม่ชอบ เนื่องจากเป็นการนำระยะเวลาที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ขยายฎีการวมเข้าด้วย
จำเลยที่ ๒ ย่อมสามารถใช้สิทธิฎีกาได้จนถึงวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๘
แต่วันดังกล่าวเป็นวันวิสาขบูชาซึ่งเป็นวันหยุดราชการ ระยะเวลาฎีกาของจำเลยที่ ๒
จึงสิ้นสุดวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๔ อันเป็นวันเริ่มทำการใหม่ แม้จำเลยที่ ๑ ที่ ๔
และที่ ๕ จะมิได้ฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
จึงให้แก้ไขหมายจำคุกคดีถึงที่สุดของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ และที่ ๕
โดยระบุให้ถึงที่สุดนับแต่วันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๘
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๑๔๗ คำพิพากษาหรือคำสั่งใด
ซึ่งตามกฎหมายจะอุทธรณ์หรือฎีกาหรือมีคำขอให้พิจารณาใหม่ไม่ได้นั้น
ให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่วันที่ได้อ่านเป็นต้นไป
คำพิพากษาหรือคำสั่งใด
ซึ่งอาจอุทธรณ์ฎีกา หรือมีคำขอให้พิจารณาใหม่ได้นั้นถ้ามิได้อุทธรณ์
ฎีกาหรือร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายในเวลาที่กำหนดไว้
ให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่ระยะเวลาเช่นว่านั้นได้สิ้นสุด ลง ถ้าได้มีอุทธรณ์ ฎีกา
หรือมีคำขอให้พิจารณาใหม่
และศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาหรือศาลชั้นต้นซึ่งพิจารณาคดีเรื่องนั้นใหม่ มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา
๑๓๒ คำพิพากษาหรือคำสั่งเช่นว่านั้นให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่วันที่มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ
คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจยื่นคำขอต่อศาลชั้นต้นซึ่งพิจารณาคดีนั้น
ให้ออกใบสำคัญแสดงว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีนั้นได้ถึงที่สุดแล้ว
0 Comments
แสดงความคิดเห็น