คำพิพากษาฎีกาที่ ๓๑๐๕/๒๕๕๓
ในขณะทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาท
โจทก์ไม่รู้ว่าที่ดินพิพาทไม่ติดกับถนนเทอดไท โดยมีที่ดินราชพัสดุคั่นอยู่
จึงเป็นการแสดงเจตนาทำสัญญาเช่าดังกล่าวโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของทรัพย์สินที่เช่าซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญจึงเป็นโมฆียะตาม
ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๗ ทั้งกรณีไม่ใช่เรื่องความชำรุดบกพร่องแห่งทรัพย์สินที่เช่าตามมาตรา
๕๔๙ และมาตรา ๕๕๑ เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาไปยังจำเลยแล้ว
มีผลเท่ากับเป็นการบอกล้างโมฆียกรรมและต้องถือว่าสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะมาตั้งแต่เริ่มแรก
และมีผลเท่ากับการเช่าที่ดินพิพาทมิได้เกิดขึ้น จึงไม่ก่อสิทธิใด ๆ
แก่จำเลยที่จะยึดถือเอาเงินของโจทก์ไว้ได้
โจทก์และจำเลยต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามมาตรา ๑๗๖
จำเลยต้องคืนเงินที่ได้รับไปแก่โจทก์
โจทก์ก็ต้องส่งมอบที่ดินพิพาทในสภาพเรียบร้อยคืนแก่จำเลย
ข้อเท็จจริง ฟังได้ว่าที่ดินพิพาทไม่ติดกับถนนเทอดไท
ทั้งจำเลยที่ ๒ ยังเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า
โจทก์เช่าที่ดินพิพาทเพื่อสร้างสถานีบริการน้ำมัน
และการทำสัญญามีเงื่อนไขสำคัญว่าที่ดินที่เช่าต้องติดกับถนนเทอดไท
ย่อมแสดงว่าในขณะทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาท
ตามสัญญาเช่าที่ดินต่างตอบแทนพิเศษเอกสารหมาย จ. ๕ โจทก์ไม่รู้อย่างแท้จริงว่าที่ดินพิพาทดังกล่าวไม่ติดกับถนนเทอดไท
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๕๗ การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สินเป็นโมฆียะ
ความสำคัญผิดตามวรรคหนึ่ง ต้องเป็นความสำคัญผิดในคุณสมบัติซึ่งตามปกติถือว่าเป็นสาระสำคัญ ซึ่งหากมิได้มีความสำคัญผิดดังกล่าวการอันเป็นโมฆียะนั้นคงจะมิได้กระทำขึ้น
0 Comments
แสดงความคิดเห็น