คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๒๙/๒๕๖๔
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่
๑ รับผิดในฐานะผู้ทำละเมิด จำเลยที่ ๓ ให้รับผิดในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุน
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๘๗ ข้อที่ว่าจำเลยที่ ๓
รับประกันภัยไว้จากผู้ใด เป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยที่ ๓ ทราบดีอยู่แล้ว
ส่วนผู้ทำละเมิดเกี่ยวข้องกับผู้เอาประกันภัยอย่างไรอันจะทำให้จำเลยที่ ๓
ในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องร่วมรับผิดนั้น
เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นภริยาของผู้ถูกทำละเมิดไม่รู้จักกับจำเลยที่ ๑
ซึ่งเป็นผู้ทำละเมิดและจำเลยร่วมซึ่งเป็นนายจ้าง และผู้เอาประกันภัยมาก่อน
เป็นเรื่องยากที่จะทราบความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลดังกล่าว ทั้งเมื่อจำเลยที่ ๓
ได้รับแจ้งเหตุรถยนต์บรรทุก
ซึ่งลากจูงตัวพ่วงที่รับประกันภัยไว้เกิดเหตุถูกรถยนต์ที่ พ. สามีโจทก์
ขับชนท้ายจน พ. ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ ๓
ย่อมต้องมีการตรวจสอบข้อมูลจากผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นคู่สัญญาว่าจำเลยที่ ๑
นำรถยนต์บรรทุกซึ่งลากจูงตัวพ่วงที่มีการเอาประกันภัยไว้กับจำเลยที่ ๓ ไปขับ
ได้อย่างไร
เพื่อพิจารณาว่าอยู่ในเงื่อนไขความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำเลยที่ ๓
จะต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ประสบภัยหรือไม่
หากไม่อยู่ในเงื่อนไขความคุ้มครองจำเลยที่ ๓ ย่อมยกขึ้นเป็นเหตุปฏิเสธความรับผิด
โดยไม่จำต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากคำฟ้องของโจทก์อีก
ข้อที่ว่าผู้ทำละเมิดเกี่ยวข้องกับผู้เอาประกันภัยอย่างไรจึงเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยที่
๓
สามารถทราบได้อยู่แล้วและเป็นเพียงรายละเอียดที่คู่ความสามารถนำสืบได้ในชั้นพิจารณา
แม้ในคำฟ้องไม่ได้กล่าวไว้ก็ไม่ทำให้เป็นฟ้องเคลือบคลุม
เพิ่มเติม
ฎีกาที่
๑๗๒/๒๕๕๙ โจทก็ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ปรากฏแจ้งชัดว่า จำเลยที่ ๑
ผู้ขับรถยนต์ที่จำเลยที่ ๒ รับประกันภัยไว้ ขับรถในฐานะใด
หรือมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัย อันจะเป็นเหตุให้ผู้เอา
ประกันภัยต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑
ฟ้องโจทก์ขาดสาระสำคัญอันเป็นประเด็นแห่งคดีที่จำเลยที่ ๒
จะต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๘๗ วรรคหนึ่ง
ที่บัญญัติให้ผู้รับประกันภัยจะต้องรับผิดต่อเมื่อเป็นวินาศภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดอันเป็นองค์ประกอบสำคัญของกฎหมาย
ซึ่งศาลต้องอาศัยเป็นหลักในการพิจารณาพิพากษาให้ผู้รับประกันรับผิด
ในผลแห่งละเมิดที่เกิดขึ้น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา
๘๘๗ อันว่าประกันภัยค้ำจุนนั้น
คือสัญญาประกันภัยซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงว่าจะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัย
เพื่อความวินาศภัยอันเกิดขึ้นแก่บุคคลอีกคนหนึ่ง และซึ่งผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบ
บุคคลผู้ต้องเสียหายชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนตามที่ตนควรจะได้นั้นจากผู้รับประกันภัยโดยตรง
แต่ค่าสินไหมทดแทนเช่นว่านี้หาอาจจะคิดเกินไปกว่าจำนวนอันผู้รับประกันภัยจะพึงต้องใช้ตามสัญญานั้นได้ไม่
ในคดีระหว่างบุคคลผู้ต้องเสียหายกับผู้รับประกันภัยนั้น
ท่านให้ผู้ต้องเสียหายเรียกตัวผู้เอาประกันภัยเข้ามาในคดีด้วย
อนึ่ง
ผู้รับประกันภัยนั้นแม้จะได้ส่งค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้ว
ก็ยังหาหลุดพ้นจากความรับผิดต่อบุคคลผู้ต้องเสียหายนั้นไม่
เว้นแต่ตนจะพิสูจน์ได้ว่าสินไหมทดแทนนั้นผู้เอาประกันภัยได้ใช้ให้แก่ผู้ต้องเสียหายแล้ว
0 Comments
แสดงความคิดเห็น