คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙/๒๕๖๕
โจทก์ร่วมทั้งสามกับ ฉ.
สามีของโจทก์ร่วมที่ ๓ ปรึกษาหารือกันเมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑
และมีความเห็นในเบื้องต้นว่า
น่าจะถูกจำเลยหลอกลวงเป็นเพียงการคาดคะเนจากการที่ได้พูดคุยกัน
มิใช่โจทก์ร่วมทั้งสามมั่นใจแล้วว่าถูกจำเลยหลอกลวง เพราะหลังจากนั้นก็ยังมีการติดตามทวงถามเอาแก่จำเลยอยู่อีก
จนกระทั่งในเดือน พฤศจิกายน ๒๕๖๑ จำเลยบ่ายเบี่ยง
อันเป็นพฤติการณ์ที่ส่อว่าไม่ได้มีการดำเนินการเกี่ยวกับการซื้อขายที่ดินตามที่จำเลยแจ้งแก่โจทก์ร่วมทั้งสาม
ทำให้โจทก์ร่วมทั้งสามทราบแน่ชัดว่าถูกจำเลยหลอกลวง โจทก์ร่วมทั้งสามร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในเดือนธันวาคม
๒๕๖๑ เป็นการร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิด
และรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๖
เพิ่มเติม
ฎีกาที่ ๔๒๒๕/๒๕๕๙
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเสนอขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โดยแจ้งว่าเป็นที่ดินมีเอกสารสิทธิการครอบครองและรับรองว่าสามารถจดทะเบียนโอนให้โจทก์ได้
แต่เนื่องจากที่ดินติดจำนองธนาคาร
จำเลยจะนำเงินที่ได้จากโจทก์ไปไถ่ถอนจำนองมาจดทะเบียนโอนให้โจทก์ภายในเดือนเมษายน
๒๕๕๕ ต่อมาวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕ โจทก์ตรวจสอบพบว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดิน ส.ป.ก.
๔ - ๐๑ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา
จึงฟังได้ว่าโจทก์ทราบเรื่องที่ถูกหลอกว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดิน ส.ป.ก. ๔ - ๐๑
มิใช่ที่ดินมีเอกสารสิทธิที่จะสามารถโอนให้กันได้ในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๕
เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ เกิน ๓ เดือน นับแต่โจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด
คดีจึงขาดอายุความ กรณีถือไม่ได้ว่าโจทก์เพิ่งทราบเรื่องความผิดฐานฉ้อโกงในวันที่
๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ซึ่งเป็นวันที่จำเลยรับรองว่าจะไม่จำหน่าย จำนำ
หรือก่อภาระผูกพันในที่ดินพิพาทให้กระทบสิทธิของโจทก์เพราะเป็นการตกลงกันภายหลัง
การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๓
วินิจฉัยว่าโจทก์รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตั้งแต่วันที่ ๑
มิถุนายน ๒๕๕๕ มิได้เป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่โจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้อง
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๙๖ ภายใต้บังคับมาตรา ๙๕
ในกรณีความผิดอันยอมความได้ ถ้าผู้เสียหายมิได้ร้องทุกข์ภายในสามเดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด
เป็นอันขาดอายุความ
0 Comments
แสดงความคิดเห็น