คำพิพากษาฎีกาที่ ๕๖๘/๒๕๖๕ 


               หลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้น ต้องมีข้อความที่แสดงให้เห็นว่าบุคคลใดเป็นผู้กู้ยืม กู้ยืมกันเป็นจำนวนเท่าใดและผู้กู้ยืมได้ลงลายมือชื่อไว้ในเอกสารดังกล่าว งบการเงินมีข้อความเพียงว่า กรรมการของจำเลยร่วมกู้ยืมเงินจากจำเลยร่วม ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท ไม่มีข้อความที่แสดงว่าจำเลยที่ ๑ หรือจำเลยที่ ๒ คนใดคนหนึ่งหรือจำเลยทั้งสองเป็นผู้กู้ยืม แม้จำเลยทั้งสองเป็นกรรมการของจำเลยร่วม แต่ขณะนั้นจำเลยร่วมมีกรรมการรวม ๓ คน คือ จำเลยทั้งสองและบุคคลอื่นอีก ๑ คน กรรมการซึ่งเป็นผู้กู้ยืมเงินในงบการเงินไม่อาจแปลความหมายได้ว่าหมายถึงจำเลยทั้งสอง งบการเงินจึงไม่ใช่หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินที่จำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อในฐานะผู้กู้ยืมเป็นสำคัญ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้กู้ยืม

 

เพิ่มเติม

               ฎีกาที่ ๑๑๖๓๗/๒๕๕๖  เช็คพิพาททั้งสี่ฉบับมิได้มีคำว่ากู้หรือยืมเลย และอ่านข้อความในเช็คพิพาททั้งหมดก็ไม่มีข้อความใดเลยที่ส่อแสดงให้รู้ได้ว่าเป็นการกู้ยืมเงินกัน อีกทั้งสภาพของเช็คก็เป็นการใช้เงิน ไม่ใช่การกู้หรือยืมเงิน เช็คพิพาททั้งสี่ฉบับจึงมิใช่เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม

 

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

               มาตรา ๖๕๓  การกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่

               ในการกู้ยืมเงินมีหลักฐานเป็นหนังสือนั้น ท่านว่าจะนำสืบการใช้เงินได้ต่อเมื่อมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ให้ยืมมาแสดงหรือเอกสารอันเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมนั้นได้เวนคืนแล้ว หรือได้แทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว