คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๒๙๕/๒๕๖๕
จําเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายมอบอำนาจให้จําเลยที่ ๒ จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จําเลยที่ ๓ แล้ว เบียดบังเอาเงินที่ขายได้เป็นประโยชน์ของจําเลยที่ ๑ และที่ ๒ ถือไม่ได้ว่าเป็นการจัดการมรดกโดยทั่วไปเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดกให้แก่ทายาทตามอำนาจหน้าที่ของผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมาย แพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๑๙ แต่เป็นการกระทำใดๆ กับที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกเพื่อประโยชน์ของจําเลยที่ ๑ และที่ ๒ โดยทุจริต แม้จําเลยที่ ๑ กระทำโดยอาศัยสิทธิการเป็นผู้จัดการมรดกก็ไม่อาจกระทำได้ หากปราศจากความยินยอมของทายาทโดยธรรมผู้มีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตาย แม้จําเลยที่ ๒ ซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จําเลยที่ ๓ ก็ไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทเพราะจําเลยที่ ๓ ซื้อจากจําเลยที่ ๑ ซึ่งขายที่ดินพิพาทแล้วเบียดบังเอาเงินที่ขายได้ไปเป็นประโยชน์ของตนเองหรือผู้อื่น อันมิใช่เป็นการทำการอันจําเป็นเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไปตามที่กฎหมายให้อำนาจผู้จัดการมรดกให้กระทำได้ จําเลยที่ ๓ ไม่มีสิทธิดีกว่าจําเลยที่ ๑ ผู้ขาย
โจทก์และเด็กชาย อ. ซึ่งเป็นคู่สมรส
และบุตรของผู้ตายที่ยังมีชีวิตและมีสิทธิได้รับมรดกของผู้ตายในฐานะทายาทโดยธรรมตามประมวลกฎหมายและพาณิชย์
มาตรา ๑๖๒๙ ฟ้องขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายที่ดินพิพาทระหว่างจําเลยที่ ๑
ผู้จัดการมรดกของผู้ตายและจําเลยที่ ๓ ซึ่งจําเลยที่ ๑ กระทำไปโดยมิชอบด้วยมาตรา
๑๗๑๙ ถือเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินจากผู้ไม่มีสิทธิยึดถือไว้ตามมาตรา
๑๓๓๖
หาใช่เป็นกรณีที่โจทก์และทายาทผู้มีสิทธิได้รับมรดกได้มาซึ่งที่ดินพิพาทโดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมไม่อาจอ้างการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทที่ยังไม่ได้จดทะเบียนขึ้นต่อสู้จําเลยที่
๓ ซึ่งซื้อที่ดินพิพาทมาโดยสุจริตและจดทะเบียนต่อ พนักงานเจ้าหน้าที่ได้ ตามมาตรา
๑๒๙๙ วรรคสอง ไม่ จึงมีเหตุเพิกถอนการจดทะเบียนที่ดินพิพาทระหว่างจําเลยที่ ๑
กับจําเลยที่ ๓
เพิ่มเติม
ฎีกาที่ ๑๔๘๐/๒๕๖๓
เมื่อผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์มรดกให้แก่ผู้ใดแล้วต่อมาศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งจำเลยที่
๑ เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย หลังจากนั้นจำเลยที่ ๑
ในฐานะผู้จัดการมรดกของผู้ตายจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑
ในฐานะที่ตนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมและทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกด้วย
เป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่โดยทั่วไปของผู้จัดการมรดกไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากทายาท
และการกระทำเช่นนี้ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๗๑๙ และมาตรา ๑๗๒๒
จำเลยที่ ๑ จึงมีอำนาจที่จะกระทำได้ นิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ ๑
ในฐานะผู้จัดการมรดกให้แก่จำเลยที่ ๑ ในฐานะส่วนตัวไม่ตกเป็นโมฆะ ตามมาตรา ๑๕๐
แม้จะทำให้โจทก์ทั้งสี่ผู้เป็นทายาทโดยธรรมได้รับความเสียหายไม่ได้รับมรดกที่ดินพิพาทก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์ทั้งสี่และจำเลยที่
๑ จะว่ากล่าวกันต่างหาก ภายหลังจากจำเลยที่ ๑
ในฐานะผู้จัดการมรดกโอนที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ ในฐานะส่วนตัวแล้ว จำเลยที่ ๑
ย่อมมีสิทธิจดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๒
ได้โจทก์ทั้งสี่ไม่ได้บรรยายฟ้องกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ ๓ กระทำการโดยไม่สุจริต
แต่กลับบรรยายฟ้องว่าแม้จำเลยที่ ๓ รับโอนมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน
และจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต
ก็ไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทตามหลักผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน เท่ากับโจทก์ทั้งสี่ยอมรับว่า
จำเลยที่ ๓ รับซื้อฝากโดยสุจริต คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ ๓
รับซื้อฝากโดยสุจริตและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตหรือไม่
แม้ศาลชั้นต้นยินยอมให้โจทก์ทั้งสี่นำสืบพยานหลักฐานกล่าวอ้างว่า จำเลยที่ ๓
รับซื้อฝากโดยไม่สุจริต ซึ่งเป็นการนำสืบพยานหลักฐานนอกเหนือไปจากคำฟ้อง คำให้การ
อันเป็นการนำสืบไม่เกี่ยวแก่ประเด็นข้อพิพาทตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๘๖ วรรคสอง
ไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ตามมาตรา ๘๗
(๑)การที่โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิได้รับมรดกที่ดินพิพาทส่วนของผู้ตายเป็นการได้ทรัพยสิทธิในอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม
ซึ่งโจทก์ทั้งสี่ยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาซึ่งที่ดินพิพาท
จึงไม่อาจยกสิทธิการได้มาซึ่งที่ดินพิพาทดังกล่าวเป็นข้อต่อสู้จำเลยที่ ๓
ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยสุจริต เสียค่าตอบแทน
และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง และมาตรา ๑๓๐๐
โจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่
๒ กับจำเลยที่ ๓ ได้ เมื่อจำเลยที่ ๓ รับซื้อฝากที่ดินไว้โดยสุจริตแล้วจำเลยที่ ๒
ไม่ไถ่ถอนการขายฝาก กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทย่อมตกแก่จำเลยที่ ๓ โดยเด็ดขาด จำเลยที่
๓ ย่อมมีสิทธิจดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ ๔ ได้
โจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนให้ที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่
๓ กับจำเลยที่ ๔ ได้เช่นเดียวกัน
เมื่อโจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ ๒
กับจำเลยที่ ๓ และจำเลยที่ ๓ กับจำเลยที่ ๔ แล้ว
การที่จะเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนให้ที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่
๒ จึงไม่เป็นประโยชน์อีกต่อไป แม้จำเลยที่ ๑ และที่ ๒
ขาดนัดยื่นคำให้การและมิได้ฎีกาขึ้นมาด้วยแต่มูลความแห่งคดีระหว่างจำเลยที่ ๑
และที่ ๒ กับจำเลยที่ ๓ เกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้
ศาลฎีกาเห็นสมควรให้มีผลไปถึงจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๒๔๕ (๑)
ประกอบมาตรา ๒๕๒
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา ๑๗๑๙
ผู้จัดการมรดกมีสิทธิและหน้าที่ที่จะทำการอันจำเป็น
เพื่อให้การเป็นไปตามคำสั่งแจ้งชัดหรือโดยปริยายแห่งพินัยกรรม
และเพื่อจัดการมรดกโดยทั่วไป หรือเพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก
0 Comments
แสดงความคิดเห็น