คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๓๙๕/๒๕๖๕
โจทก์กับ ว.
อยู่อาศัยในบ้านและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาท โดยอาศัยสิทธิของ ป. บิดาของ ว.
ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินเดิม เป็นการครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทแทน ป.
แม้โจทก์เป็นผู้ปลูกต้นมะพร้าวในที่ดินพิพาทก็ตาม
แต่ต้นมะพร้าวเป็นไม้ยืนต้นย่อมเป็นส่วนควบกับที่ดินที่ไม้นั้นขึ้นอยู่
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๕ วรรคหนึ่ง เมื่อ ป.
โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้จําเลยที่ ๒ ร. และ ฐ. แล้ว จําเลยที่ ๒ ร. และ ฐ.
จึงเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในต้นมะพร้าวนั้น การที่จําเลยที่ ๒
ให้คนงานตัดลูกมะพร้าวในที่ดินพิพาทไปขาย จึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
เพิ่มเติม
ฎีกาที่ ๔๘๔๑/๒๕๖๐
แม้ต้นปาล์มและต้นมะพร้าวโจทก์ทั้งสองจะปลูกไว้ แต่เมื่อเป็นไม้ยืนต้น
จึงเป็นส่วนควบของที่ดินพิพาท
ผลปาล์มและต้นมะพร้าวจึงเป็นของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
ไม่ใช่ของโจทก์ทั้งสอง ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๔๕
ดังนั้นการที่จำเลยทั้งสองเข้าไปเอาผลปาล์ม แล้วเข้าไปตัดโค่นทำลายต้นมะพร้าว
จะถือว่าทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหายไม่ได้
โจทก์ทั้งสองไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายในส่วนนี้จากจำเลยทั้งสอง
ส่วนต้นกล้วยเป็นไม้ล้มลุก
ไม่เป็นส่วนควบกับที่ดิน โจทก์ทั้งสองเป็นผู้ปลูกจึงเป็นเจ้าของต้นกล้วย
จำเลยทั้งสองเข้าไปโค่นทำลาย ทั้ง ๆ
ที่รู้แล้วว่าแม้จะปลูกอยู่ในที่พิพาทแต่ต้นกล้วยเหล่านั้นเป็นของโจทก์ทั้งสอง
ตามพฤติการณ์ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสองโดยไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้ตามกฎหมาย
เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองและเป็นการโต้แย้งสิทธิในทรัพย์สินของโจทก์ทั้งสอง
โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องและจำเลยทั้งสองต้องรับผิดในมูลละเมิดที่เกิดจากการกระทำของตน
ประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๓๓๔ ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่น
หรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
และปรับไม่เกินหกหมื่นบาท
0 Comments
แสดงความคิดเห็น