คำพิพากษาฎีกาที่ ๗๔๐/๒๕๖๖
แม้คําพิพากษาคดีแพ่งของศาลชั้นต้นจะมีผลผูกพันโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่ความตาม
ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๕ วรรคหนึ่ง
ทำให้จำเลยไม่มีสิทธิกล่าวอ้างข้อเท็จจริงอย่างอื่นให้แตกต่างไปจากผลแห่งคําวินิจฉัยดังกล่าวที่ฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินและบ้านก็ตาม
แต่ปัญหาว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดข้อหาบุกรุกหรือไม่
ศาลยังต้องใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงจนแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้นตาม
ป.วิ.อ. มาตรา ๒๒๗ วรรคหนึ่ง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๘
ยกเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้วพิพากษาลงโทษจำเลย
โดยยังมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงตามอุทธรณ์ของจำเลยว่าจำเลยกระทำความผิดข้อหาบุกรุกหรือไม่
เป็นการไม่ชอบ
ขณะเกิดเหตุจำเลยทราบดีว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินและบ้านที่เกิดเหตุ
การที่จำเลยยังเข้าไปในที่ดินและบ้านที่เกิดเหตุจนถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้
ถือว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดข้อหาบุกรุกแล้ว
เมื่อผลแห่งคําพิพากษาวินิจฉัยว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินและบ้านที่เกิดเหตุ
จำเลยเข้าไปตัดกุญแจประตูบ้าน เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์และคดีถึงที่สุดแล้ว คําพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความ
จำเลยไม่อาจอ้างข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นได้ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๘๔ (๒)
ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา ๑๕
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา ๘๔
การวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงในคดีใดจะต้องกระทำโดยอาศัยพยานหลักฐานในสำนวนคดีนั้น
เว้นแต่
(๑)
ข้อเท็จจริงซึ่งรู้กันอยู่ทั่วไป
(๒)
ข้อเท็จจริงซึ่งไม่อาจโต้แย้งได้ หรือ
(๓)
ข้อเท็จจริงที่คู่ความรับหรือถือว่ารับกันแล้วในศาล
0 Comments
แสดงความคิดเห็น