จำเลยถึงแก่ความตายในระหว่างอุทธรณ์
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ป..อ.มาตรา ๓๙ (๑)
ฎีกาที่ ๑๓๓๖๑/๒๕๕๘ คดีอาญา จำเลยถึงแก่ความตายระหว่างพิจารณาคดีของศาลฎีกา
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๓๙ (๑) จึงให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ
สำหรับคดีส่วนแพ่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๔๒ หากครบกำหนดหนึ่งปีนับแต่จำเลยถึงแก่ความตาย
ไม่มีบุคคลใดร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทน หรือเข้ามาตามหมายเรียกของศาลก็ให้ศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีเสียจาก สารบบความ
หมายเหตุ โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๗๒, ๓๓, ๙๑, ๒๘๘,
๓๗๑ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด
ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.๒๔๙๐ มาตรา ๔, ๘ ทวิ,
๗๒ ทวิ พระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.๒๕๓๐ มาตรา ๔, ๑๕, ๔๒ ริบอาวุธปืน หัวกระสุนปืนและเสื้อเกราะป้องกันกระสุนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ ระหว่างพิจารณา นางทองสุข มารดาของนายชำนาญ ผู้ตาย
ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต และโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน
๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท
พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์และโจทก์ร่วมแถลงว่า จำเลยถึงแก่ความตายแล้วเมื่อวันที่
๒๓ เมษายน ๒๕๕๘ ปรากฏหลักฐานตามสำเนาใบมรณบัตรท้ายหนังสือของสถานีตำรวจภูธรเขาบางแกรก
ฎีกาที่ ๒๖๕๙/๒๕๖๖ คดีนี้โจทก์มีคำขอให้จำเลยชดใช้เงินที่ยักยอกไปจากผู้ร้องตาม
ป.วิ.อ. มาตรา ๔๓ จำเลยถึงแก่ความตายระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา อันส่งผลให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตาม
ป.วิ.อ. มาตรา ๓๙ (๑) แต่เมื่อปรากฏว่าผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ
๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินที่โจทก์ขอมาด้วย คดีในส่วนแพ่งจึงต้องดำเนินการเพื่อให้บุคคลที่กฎหมายกำหนดเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยผู้มรณะตาม
ป.วิ.พ. มาตรา ๔๒ ต่อไป
ฎีกาที่ ๕๓๔-๕๓๕/๒๕๖๖ เมื่อจำเลยที่
๒ ถึงแก่ความตายระหว่างพิจารณาคดีของศาลอุทธรณ์ภาค ๑ สิทธิในการนำคดีอาญาของจำเลยที่
๒ มาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๓๙ (๑) แต่สำหรับคดีส่วนแพ่งนั้น ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง
ดังที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา ๔๗ วรรคหนึ่ง ดังนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ต้องดำเนินการตาม
ป.วิ.พ. มาตรา ๔๒ เสียก่อน กล่าวคือ หากครบกำหนดหนึ่งปีนับแต่จำเลยที่ ๒ ถึงแก่ความตายแล้ว
ไม่มีบุคคลใดร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนหรือเข้ามาตามหมายเรียกของศาล จึงให้จำหน่ายคดีส่วนแพ่งออกเสียจากสารบบความ
ฉะนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ด่วนมีคำสั่งจำหน่ายคดีส่วนแพ่งในส่วนของจำเลยที่ ๒ ออกเสียจากสารบบความ
ย่อมเป็นการไม่ชอบ
การสั่งคดีของศาล
คือ จำหน่ายคดีออกเสียสารบบความ ดูฎีกาที่ ๔๙๐๓/๒๕๖๒
ฎีกาที่ ๔๙๐๓/๒๕๖๒ โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่
๔ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อปรากฏว่าในคดีส่วนอาญา จำเลยที่ ๓ ถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค
๒ สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องจำเลยที่ ๓ ย่อมระงับไปโดยความตายของผู้กระทำความผิด
ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๓๙ (๑) แต่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ ไม่ได้จำหน่ายคดีของจำเลยที่ ๓ ออกเสียจากสารบบความ จึงเป็นการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว
ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๓ ออกเสียจากสารบบความ
จำเลยถึงแก่ความตาย
สัญญาประกันสิ้นสุดลงด้วย ดูฎีกาที่ ๓๔๗๘/๒๕๖๔
ฎีกาที่ ๓๔๗๘/๒๕๖๔ ป.วิ.อ. มาตรา ๑๑๘
บัญญัติว่า "เมื่อคดีถึงที่สุดหรือความรับผิดตามสัญญาประกันหมดไปตามมาตรา
๑๑๖ หรือโดยเหตุอื่น ให้คืนหลักประกันแก่ผู้ที่ควรรับไป" ดังนี้
เมื่อจำเลยที่ ๔ ถึงแก่ความตายอันเป็นเหตุให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตาม
ป.วิ.อ. มาตรา ๓๙ (๑) สัญญาประกันตัวจำเลยที่
๔ เป็นอันสิ้นสุดลง ศาลจึงชอบที่จะคืนหลักประกันให้แก่ผู้ที่ควรรับไป
จำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลได้มีการควบบริษัทเป็นบริษัทใหม่
ไม่ถือว่าจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลถึงแก่ความตายตามนัยมาตรา ๓๙ (๑) ดูฎีกาที่
๑๐๗๔๑/๒๕๕๙
ฎีกาที่ ๑๐๗๔๑/๒๕๕๙ ตาม
พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.๒๕๓๕ หมวด ๑๒ การควบบริษัท บัญญัติถึงขั้นตอนและวิธีการในการควบบริษัท
โดยในมาตรา ๑๕๑ และ ๑๕๒ กำหนดให้คณะกรรมการบริษัทที่ควบกันแล้วต้องขอจดทะเบียนการควบบริษัทต่อนายทะเบียนภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด
เมื่อนายทะเบียนรับจดทะเบียนการควบบริษัทแล้ว ให้บริษัทเดิมหมดสภาพจากการเป็นนิติบุคคล
จึงไม่ได้มีลักษณะเหมือนกรณีจำเลยที่เป็นบุคคลธรรมดาตาย การควบบริษัทมีผลให้จำเลยที่
๒๒ หมดสภาพจากการเป็นนิติบุคคลโดยผลของกฎหมายและตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๓๙ (๑) ที่กำหนดว่าสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปโดยความตายของผู้กระทำผิดก็หาได้กำหนดถึงกรณีที่จำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลควบบริษัทด้วยไม่ บริษัทที่ควบกันและจดทะเบียนแล้วย่อมได้ไปทั้งทรัพย์สิน หนี้ สิทธิ หน้าที่
และความรับผิดชอบของบริษัทเหล่านั้นทั้งหมดตาม มาตรา ๑๕๓ แห่ง พ.ร.บ.บริษัทมหาชนจำกัด
พ.ศ.๒๕๓๕ การที่จำเลยที่ ๒๒ ได้ควบบริษัทกับบริษัท ว. และเกิดเป็นบริษัทใหม่ คือ
บริษัท ด. ความรับผิดทางอาญาของจำเลยที่ ๒๒ จึงไม่ระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๓๙ (๑)
0 Comments
แสดงความคิดเห็น